ReadyPlanet.com
dot dot
dot
วัด ที่อยู่ และธรรมะของ ครูบาอาจารย์ต่างๆ
dot
bulletหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
bulletครูบาศรีวิชัย
bulletหลวงพ่อครูบาวงศ์
bulletวัดท่าซุง(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
bulletพุทธทาส ภิกฺขุ
bulletหลวงพ่อชา สุภัทโท
bulletหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
bulletหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
bulletพระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป
dot
พระบรมราโชวาท ร.๙
dot
bulletพระบรมราโชวาท
bulletส.ค.ส. พระราชทาน 2530-2555
dot
วัดพระพุทธบาทตะเมาะ
dot
bulletประวัติวัดพระพุทธบาทตะเมาะ
bulletประวัติพระมหานพดล สิริวฑฺฒโน
dot
ผลงานของมหานพดล สิริวฑฺฒโน
dot
bulletวาทะพระอริยเจ้า(หลวงปู่บุดดา ถาวโร)
bulletกลอนสดจากใจประจำวัน
bulletวาทะธรรมพระมหานพดล สิริวฑฺฒโน
bulletพระธรรมเทศนา พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน
bulletแนวทางปฏิบัติธรรมโดยย่อ พระมหานพดล รวบรวม
dot
ธรรมที่น่าสนใจ
dot
bulletธรรมอันควรพิจารณา
bulletรวมวิธีการทำสมาธิของครูบาอาจารย์ต่างๆ
bulletโมกขุบายวิธี
bulletเคล็ดปฏิบัติสมาธิหลวงปู่เหรียญ
bulletประโยชน์ของการทำสมาธิ
bulletโมเนยปฏิปทา
dot
รายการแสวงบุญ
dot
bullet แสวงบุญประเทศอินเดีย เนปาล ๑๑ - ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
dot
กิจกรรมต่าง ๆ
dot
bulletพิธียกยอดฉัตร เจดีย์หิน 3 ครูบา 18 ม.ค. 56
bulletแสงบุญ หลวงพระบาง และสิบสองปันนา 19-25 พ.ค. 55
bulletรูปภาพแสวงบุญ
dot
เชิญร่วมทำบุญ
dot
dot
สมุนไพรและการดูแลสุขภาพ
dot
bulletโคลนสมุนไพร ดูดสารพิษ บรรเทาอาการปวด
bulletโทษของ สเตอร์ลอย
bulletอาหาร 10 อย่าง ที่ไม่ควรกินมากเกินไป
dot
โครงการช่วยชาติ ของ สถาบันธรรมะเพื่อชีวิต
dot
bulletฮิวมัสกับสวนลำไย


พระบรมราโชวาท
แนวทางปฏิบัติธรรม
แสวงบุญประเทศอินเดีย
เต่ามงคล


วาทะธรรมพระมหานพดล สิริวฑฺฒโน

 

 

ประสบการณ์ตลอดระยะเวลา ๓๐ กว่าปี ในเรื่องของธรรมะ ของพระอาจารย์มหานพดล สิริวฑฺฒโน 

      สรุปธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน  พอจะสรุปตามความเข้าของตนเองว่า ธรรมชาติของจิตที่คิดดี เป็นธรรมชาตินำมาซึ่งความสุข  ธรรมชาติของจิตที่คิดร้าย เป็นธรรมชาตินำมาซึ่งความทุกข์  และธรรมชาติของจิตที่ปล่อยวางเป็นบรมสุขอย่างยิ่ง                                                                                            "นิพพานัง ปรมัง สุขขัง พระนิพพานเป็นบรมสุขอย่างยิ่ง

พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๔ เม.ย. ๕๒

       พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า  ผู้มีสติอยู่กับปัจจุบัน  ความทุกข์ทั้งหลายจะไม่เข้าในใจเราเลย  ที่เราทุกข์เพราะเราคิดถึงอดีตที่ผ่านมาแล้ว  และกังวลถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ตามหลักความเป็นจริงของธรรมชาติ ที่ตรงตามหลักวิทยาศาสตร์  ถ้าจิตของมนุษย์สอดส่ายไปในอดีตหรืออนาคต ความทุกข์จะเกิดขึ้นมาในจิต เพราะความจริงของมนุษย์ต้องอยู่กับปัจจุบัน  อยู่กับปัจจุบันทุกขณะจิตชีวิตจะเป็นสุขจนถึงบรมสุข  คือพระนิพพานเป็นที่สุด ขอท่านทั้งหลายจงมีสติอยู่กับปัจจุบันทุกคนทุกท่านเทอญ  

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๒๕  เม.ย.๕๒

          อารมณ์พอใจไม่พอใจ   ที่เกิดขึ้นในจิตของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธองค์ให้เรารู้ตามความเป็นจริง  แล้วก็ยอมรับความจริงในสิ่งเหล่านั้น ธรรมะคือการรู้เห็นตามความเป็นจริง รู้แล้วก็ละ  รู้แล้วก็ปล่อย รู้แล้วก็วาง จิตก็จะสงบระงับได้ง่าย  แต่ถ้าเราไม่อยากให้มีอารมณ์ ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  อยากให้จิตปล่อยวางในสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในจิต ความอยากนั่นแหละจะเป็นตัวก่อเกิดกิเลสตัวใหม่ขึ้นมา จิตก็จะไม่พบกับความสงบเลย  ฉะนั้นจงปล่อยอารมณ์แห่งความอยากทั้งหลายออกไป จงมีสติอยู่กับปัจจุบัน ถ้าปล่อยได้วางได้  อารมณ์แห่งความสบายจะบังเกิดขึ้นมาในใจของเรา

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๒๖  เม.ย. ๕๒

          ธรรมชาติของดวงอาทิตย์ย่อมมีแสงสว่างในตัวของมันเองและก็จะมีจุดดับเมื่อถึงกาลเวลาในภายภาคหน้า  ธรรมชาติของโลกย่อมหมุนรอบตนเองและรอบดวงอาทิตย์ ธรรมชาติของดวงจันทร์ย่อมหมุนรอบโลก

         โลกมนุษย์มันเกิดมาแล้วไม่รู้กี่ปี  เมื่อมนุษย์เกิดขึ้นมา ได้สมมุติกันว่า  เมื่อโลกหมุนรอบตัวเอง ๑ รอบ สมมุติว่า ๑ วัน เมื่อหมุนรอบตัวเอง ๓๐ วัน สมมุติว่า ๑ เดือน หมุนรอบตัวเอง ๓๖๕ วัน สมมุติว่า ๑ ปี แล้วมนุษย์ก็ไปสมมุติสิ่งโน้นสิ่งนี้  จนคิดว่าสมมุตินั่นแหละเป็นความจริง  คือเป็นจริงโดยสมมุติ  จากนั้นก็แย่งชิงดีชิงเด่นกัน สร้างความทุกข์และเบียดเบียนซึ่งกันและกัน และแล้วสุดท้ายเมื่อความตายมาถึงทุกคนก็ไม่สามารถนำอะไรติดตัวไปได้เลย แม้แต่สรีระร่างกายของเรา  เราต้องคืนให้กับแผ่นดิน  พระพุทธองค์ทรงสอนให้ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อละคลายความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลาย เพื่อสันติสุขที่แท้จริงในจิตในใจของเรา

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๒๙ เม.ย. ๕๒

            หลวงพ่อครูบาชัยวงศาพัฒนา  วัดพระพุทธบาทห้วยต้มซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่อาตมาเคารพเป็นอย่างยิ่ง  ท่านได้สอนว่า  การเป็นผู้ใหญ่  อย่าเชื่อง่าย  อย่าหูเบา เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้เป็นหัวหน้าปกครองคนทั้งหลาย  ไม่ว่าจะเป็นสังคมใดก็ตาม  สมัยปี พ.ศ. ๒๕๒๘ มีมีชีท่านหนึ่งได้เคยมาจำพรรษาที่วัด  สภาพภายนอกดูเป็นแม่ชี   แต่มีปรกติชอบพูดโกหก สารพัดอย่าง ทำให้คนในวัดเกิดความแตกแยก ตอนนั้นอาตมาเพิ่งบวชได้ ๕ พรรษา  ได้ฟังคนโน้นทีคนนี้ที  พยายามที่จะแก้ไขให้มีความเข้าใจกัน แต่ดูเหมือนว่ายิ่งแก้ก็ยิ่งวุ่นวาย ตอนหลังจับโกหกแม่ชีรูปนี้ได้ ทำให้มาหวนคิดถึงตนเองว่า  เรานี่หนาดูแต่คนอื่น ไม่ยอมดูตัวเอง ความวุ่นวายหรือความสงบมันอยู่ที่ตัวเราเองมากกว่า  มันไม่ได้อยู่ที่คนอื่นเลย  หลวงพ่อวงค์ท่านยังบอกอีกว่า แม้เรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องจริง  ถ้าเราไม่เห็นกับตาตนเอง  เราก็ไม่ควรจะพูด เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งไม่จบเรื่อง              จงใช้ความสงบสยบเรื่องร้ายทั้งหลาย   องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า  สิ่งทั้งมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจ  ถ้าใจเราดีทุกอย่างก็จะดีไปด้วย  ถ้าใจเราไม่ดีสิ่งทั้งหลายรอบข้างก็จะไม่ดีไปด้วย

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๓๐  เม.ย. ๕๒

            สมัยที่อยู่จำพรรษาที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม  เคยสอบถามหลวงพ่อวงศ์ว่า  คนเราที่ปรารถนาความพ้นทุกข์  (คือพระนิพพาน) จะทำอย่างไรให้เข้าถึงจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้ให้เร็วที่สุด ท่านตอบว่า จงทำดีให้ถึงที่สุด  และต้องไม่มีศัตรูกับใคร  คำว่าไม่มีศัตรูกับใคร ตรงกับคำว่า อภัยทาน คือการให้อภัยแม้แต่คนจะด่า ว่าร้ายเรา  เราก็จะไม่โกรธตอบ  เพราะการโกรธตอบเป็นบาปชั่วเลวหลายเท่า

พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน  ๘ พ.ค. ๕๒

                        พระญี่ปุ่น ๒ องค์ อยู่ที่วัดของอาตมา  องค์หนึ่งอยู่มาได้ประมาณ ๙ ปี  อีกองค์หนึ่งอยู่ได้ประมาณ ๔ ปี (พ.ศ.๒๕๕๒) องค์ที่อยู่ได้ ๙ ปี ชื่อพระทาคาสิ มหาปุญฺโญ สอบได้นักธรรมเอก  ท่านชอบปฏิบัติธรรม ยุบหนอ พองหนอ ท่านจะเข้ากรรมฐาน ปิดวาจา ปีละ ๓ ครั้ง  ครั้งละประมาณ ๒๐-๔๕ วัน แล้วแต่โอกาสเวลาจะอำนวย บางปีก็ไปจำพรรษาที่วิเวกอาศรม จ.ชลบุรี เข้ากรรมฐานปิดวาจาตลอดพรรษา ท่านบอกว่าทุกครั้งท่านเข้าปฏิบัติธรรมจะเกิดอาการเครียด ปวดศีรษะ แก้อย่างไรก็ไม่หาย  ในระยะหลังท่านได้อาศัยธรรมชาติ  ปล่อยวางอารมณ์มีสติอยู่กับปัจจุบัน ท่านบอกว่าไม่ค่อยมีอาการปวดศีรษะเหมือนแต่ก่อน รู้สึกสบายใจเมื่อรู้จักการปล่อยวาง                                                                                                                                                                         จะเห็นว่าการปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าเราไปเพ่งต่ออารมณ์ต่างๆ จะทำให้เกิดอาการเครียด  การปฏิบัติธรรมสุดท้าย ต้องรู้จักปล่อยวางอารมณ์ทั้งหลาย ให้เหลือแต่กายกับใจ เฝ้ารู้เห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง  การทำเช่นนี้ต้องมีศีลเป็นพื้นฐาน  เพราะศีลเปรียบเหมือนพื้นฐานที่สำคัญของการปฏิบัติ  ถ้าขาดเสียซึ่งศีลธรรมอันดีงามแล้ว  ย่อมไม่สามารถพบกับความสุขที่แท้จริงได้เลย  ศีลทำให้ถึงซึ่งความสุข  ศีลทำให้ถึงซึ่งโภคทรัพย์  และศีลทำให้ถึงซึ่งพระนิพพาน

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๙ พ.ค. ๕๒

            ผู้ที่มีศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างมั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่คลอนแคลนนั้น  ต้องเป็นผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติตามศีล สมาธิ ปัญญา จนได้รับผลคือความสุขอันเกิดจากการปฏิบัติ สุขอันเกิดจากการปล่อยวาง ถ้ายังไม่เห็นผลอันเกิดจากการปฏิบัติเพียงไร บุคคลนั้นก็ยังมีศรัทธาที่ไม่มั่นคง เพราะธรรมะยังไม่แจ้งประจักษ์ในใจของตน ดังนั้นการลงมือปฏิบัติธรรมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ พระอริยะเจ้าทั้งหลายทั้งในอดีตและปัจจุบัน ท่านเป็นผู้มีศีลอันบริสุทธิ์  ท่านสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย ท่านปฏิบัติจนแจ้งประจักษ์ในใจชองท่านเอง  แล้วนำธรรมะมาแนะนำสั่งสอนให้สาธุชนรุ่นหลังได้ปฏิบัติตาม เพื่อความสุขของตนเองและสังคมสืบไป

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๑๐ พ.ค. ๕๒  

            ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่  มีใจเป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจ ถ้าใจดีทุกสิ่งทุกอย่างก็ดี  ถ้าใจไม่ดีทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่ดี ดังนั้นจงทำจิตใจของตนให้ดีอยู่เสมอ แล้วทุกอย่างจะดีเอง  แม้เมื่อมีภัยก็จงมีสติรักษาใจเอาไว้ให้ดี  ถ้าใจดีแล้วย่อมผ่านอุปสรรคต่างๆไปได้ด้วยดี อาตมาทดลองมาแล้วหลายครั้ง  จนมั่นใจในพระสัทธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ว่าสามารถคุ้มครองเราให้ร่มเย็นเป็นสุขได้จริง  เพราะธรรมที่ประพฤติดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๑๑ พ.ค. ๕๒

            ธรรมะเป็นธรรมชาติ  สภาวธรรมเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติอย่างหนึ่ง  ที่สามารถพิสูจน์ได้  โดยการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า  ปัญญามี ๓ อย่างคือ  สุตมยปัญญา  ปัญญาเกิดจากการฟัง  จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากความคิด  และภาวนามยปัญญา  ปัญญาเกิดจากการภาวนา  ปัญญาที่แท้จริงนั้นต้องเกิดจากการภาวนา  ให้เข้าถึงจิตเข้าถึงใจของตนเอง  เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน ไม่มีใครสามารถจะรู้แทนกันได้  เหมือนอาหารที่รับประทานเข้าไปในร่างกาย ไม่มีใครที่จะสามารถรับประทานแทนกันได้  ใครรับประทานบุคคลนั้นย่อมได้รับรสและความอิ่มแห่งอาหารนั้น  เช่นเดียวกับการปฏิบัติธรรม ผู้ปฏิบัติตามพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เท่านั้น ย่อมสมควรที่จะได้รับรสแห่งพระธรรม  ตามกำลังและสติปัญญาความสามารถของตน ไม่สามารถทำให้บุคคลอื่นรับรู้ได้เลย   

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๑๒ พ.ค. ๕๒

            วันนี้ได้มีโอกาสพาญาตโยมที่มาจากกรุงเทพ ไปเยี่ยมพระอาจารย์สมพงษ์  ที่สำนักสงฆ์ห้วยหยวก  อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ในระหว่างทางได้พูดธรรมะให้ญาตโยมได้ฟัง เป็นเครื่องสติเตือนใจ  ในตอนหนึ่งอาตมาได้บอกกับญาตโยมว่า  ในขณะนี้พวกเรากำลังอยู่ในรถ  ถ้าเรามีความอยากที่จะไปให้ถึงปลายทางเร็วๆ  แค่เกิดความคิดขึ้นมาจิตของเราก็จะเป็นทุกข์ขึ้นมาทันที  หรือถ้าเราอยากจะอยู่ที่พักไม่อยากเดินทางมาที่นี่  ความทุกข์ก็บังเกิดขึ้นมาในใจของเราทันที  แต่ถ้าเรามีสติอยู่กับปัจจุบัน  ชีวิตของเราก็จะเป็นสุข  ดังนั้นธรรมทั้งหลายทั้งปวงจึงไม่สามารถหนี ปัจจุบันไปได้เลย จงเตือนตนเองอยู่เสมอว่า ความจริงตัวเรานั้น  มีสภาวะที่อยู่กับปัจจุบัน เราไม่สามารถอยู่กับอดีตหรืออนาคตได้เลย

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๑๖ พ.ค.๕๒

            เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่ดวงดี วัดท่าจำปี  พระคุณท่านมีอายุ ๑๐๓ ปีแล้ว  แต่ยังมีสุขภาพที่แข็งแรง  เป็นพระมหาเถระที่มีเมตตาเป็นอย่างยิ่ง  มีประชาชนไปกราบท่านเป็นจำนวนมาก อาตมาได้กราบเรียนนิมนต์ให้หลวงปู่ไปเยี่ยมและแผ่เมตตาบารมีที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะ ถ้าหลวงปู่มีโอกาสไปทางดอยเต่า  และในวันนี้หลวงปู่มีกิจนิมนต์ไปที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม  อ.ลี้ จ.ลำพูน  ดังนั้นหลวงปู่และคณะศิษย์ได้ไปแวะเยี่ยมอาตมาที่วัด  พร้อมกับแผ่เมตตาบารมีให้วัดมีความร่มเย็นเป็นสุขและมีความเจริญรุ่งเรืองในการปฏิบัติธรรมยิ่งๆขึ้นไป  อาตมามีความซาบซึ้งในความเมตตาของพระคุณท่านเป็นอย่างยิ่งที่ได้เมตตาไปเยี่ยมที่วัด  นับเป็นสิริมงคลสำหรับวัดเป็นอย่างยิ่ง  ขอนอบน้อมพระเดชพระคุณด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๑๗  พ.ค. ๕๒

            ตามหลักวิทยาศาสตร์ น้ำย่อมเกิดจากการที่โฮโดรเจน ๒ ส่วน รวมตัวกับออกซิเจน ๑ ส่วน จึงทำให้เกิดเป็นน้ำขึ้นมา  มันเป็นความจริงเสมอตลอดกาล  ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้เลย  และการที่คนเราได้มีโอกาสพบกัน ถ้าตามหลักความจริงแล้วนั้น  ไม่มีความบังเอิญได้เลย  ต้องมีเหตุและมีปัจจัยที่ทำให้เราต้องมาพบกัน  การที่เราเกิดมาแล้วดำรงชีวิตอยู่  มันเป็นไปตามวิบากของกรรมที่เราได้เคยกระทำไว้ในชาติปางก่อน  ส่งผลมาถึงชาติปัจจุบัน  เราควรทำดีต่อไปเพื่อให้จิตของเราอยู่เหนือวิบากกรรมทั้งหลาย  เข้าถึงสันติสุขที่แท้จริงในใจของเรา

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๒๐  พ.ค. ๕๒

            เคยพาผู้พิพากษาท่านหนึ่งไปกราบพระอาจารย์เปลี่ยน  ปญฺญาปทีโป  ที่วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แต่ง  จ.เชียงใหม่  พระอาจารย์ท่านเมตตาโยมคนนี้เป็นอย่างมาก  ท่านบอกว่า  ให้โยมหมั่นปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ  อีกหน่อยจะมีอารมณ์ที่เป็นสุข  นั่ง ยืน เดิน นอน จิตใจจะเบิกบานแจ่มใส  เหมือนยิ้มให้กับตนเอง  จิตใจจะเป็นสุขมาก เพราะผลอันเกิดจากการปฏิบัติ  ซึ่งตรงกับคำพูดของหลวงปู่ดุลย์  อตุโล  ที่ว่า  เมื่อปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมดีแล้ว  จะทำให้จิตของเรายิ้มขึ้นมาในใจด้วยตัวของเราเอง  การปฏิบัตินั่นแหละจึงเป็นธรรมที่สมควรแก่การธรรม  เป็นการได้รับผลที่แท้จริง ของธรรมที่เราได้ปฏิบัติมาดีแล้ว 

            ดังนั้นพวกเราทั้งหลายควรที่จะหมั่นเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา อยู่เสมอ เพื่อความสุขในใจของเราเอง

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๒๑   พ.ค. ๕๒

            สมัยที่อาตามยังเป็นคฤหัสถ์  จะปฏิบัติธรรมทุกตอนเช้ามืดและตอนค่ำ  คือนั่งสวดมนต์ทำสมาธิ  ตอนเช้าประมาณ ๑ ชั่วโมง  และตอนค่ำประมาณ ๑ ชั่วโมง ทุกๆวัน  จนกระทั่งได้มาอุปสมบท  การปฏิบัติเพื่อมุ่งหวังผลในธรรมนั้น  เราจะทำเป็นเล่นๆไม่ได้  ต้องทำจริงๆจึงจะได้ของจริง  เมื่อมาอุปสมบท(พ.ศ.๒๕๒๔)  ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา  ตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน  มีปรกติที่เห็นความไม่งามเป็นอารมณ์  สงบ และมีสันติสุขอยู่ภายในใจของเราเอง

                       ผู้มีความเพียรอันเลิศ               ย่อมได้รับผลอันเลิศ                                                                                      ผู้มีความเพียรอันเลวทราม    ไฉนเลยจึงจะได้รับผลอันเลิศเล่า

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๒๒   พ.ค. ๕๒

            คนส่วนมากชอบมองดูความผิดของบุคคลอื่น  ว่าไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้  แต่มักจะลืมดูตนเอง  ความผิดของคนอื่นแม้มีเล็กน้อย  ก็สามารถเห็นปานประดุจภูเขาใหญ่  แต่ความผิดของตนเอง แม้มากเพียงไร  ความรู้สึกของผู้เป็นเจ้าของเหมือนกับปลายเข็มที่เล็กนิดเดียว  ดังนั้นความทุกข์จึงเกิดขึ้นกับชนเหล่านี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๒๓   พ.ค. ๕๒

            อาตมาเคยได้รับการตำหนิติเตียนจากการกระทำของตนเองอยู่หลายครั้ง  แต่ส่วนตัวก็ไม่ค่อยหวั่นไหวสักเพียงไร  ทั้งนี้เพราะการที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา  คิดว่าตนเองพยายามทำดีที่สุดแล้ว  ในเมื่อพยายามทำตนเองให้ดีที่สุดแล้ว   จะไปหวั่นไหวกับโลกธรรมไปทำไม  คนเราไม่มีผิดพลาดบ้างหรืออย่างไร เมื่อเขาติเตียนเรา  เราก็รับฟังถ้าเราผิดจริงก็ควรที่จะแก้ไข ถ้าไม่ผิดก็ปล่อยวางเสียแผ่เมตตาให้กับเขาเหล่านั้น   ความดีมันอยู่ในใจเรา  ส่วนความไม่ดีก็อยู่ในใจเราเช่นกัน  คนโง่เท่านั้นที่มีปรกติชอบติเตียนบุคคลอื่น แต่พระอริยะเจ้าทั้งหลายท่านวางทั้งความดีและความชั่วออกไปจากใจของท่าน เพราะจิตของบุคคลใดที่ไปสัมผัสทั้งดีหรือชั่วโดยยึดถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริง  ความทุกข์ย่อมเกิดมาในใจของผู้นั้น  แต่ถ้าผู้ใดปล่อยวางได้  จิตของผู้นั้นจะได้รับสันติสุข  เป็นสุขที่เป็นบรมสุขอย่างยิ่ง  มันเป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน  ท่านทั้งหลายจงมาสัมผัสและศึกษาธรรมอันล้ำเลิศขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เถิด

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๒๔   พ.ค. ๕๒

            เมื่ออยู่กับความสงบวิเวก  ชนทั้งหลายย่อมมีความหงอยเหงาเศร้าใจ  เพราะหวนคำนึงคิดถึงอดีตที่ผ่านมาแล้ว  หรือพะวงถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง  แต่ผู้รู้ทั้งหลายย่อมได้รับความสุขอันเกิดจากความสงบวิเวก  เพราะท่านไม่คิดถึงอดีตที่ผ่านมาแล้วด้วยความอาลัย  หรือพะวงถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง  คิดถึงแต่ปัจจุบันจิตที่ละทุกสิ่งทุกอย่างออกจากใจของตน  ปล่อยเมื่อไหร่ก็สุขเมื่อนั้น  วางเมื่อไหร่ก็สุขเมื่อนั้น  เมื่อรู้แจ้งประจักษ์ด้วยตนเองแล้ว  ย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอย่างแน่นนอน

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๒๕   พ.ค. ๕๒

               อิ่มอย่าลืมอยาก       ปากอย่าลืมใจ     ไปอย่าลืมทาง   คำพูดนี้หลวงพ่อครูบาวงศ์ได้สอนอาตมาให้จำไว้พิจารณา  เป็นคติเตือนใจ  ให้มีสติในการดำเนินชีวิต  เพื่อความผาสุกของเราตลอดไป  ขอให้ผู้อ่านทั้งหลายจงพิจารณาให้แจ้งชัดในใจของตนเองเถิด

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๒๗   พ.ค. ๕๒

                 เมื่อวานนี้อาตมาได้พบโยมผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ หกสิบกว่า  โยมได้มาหาแล้วเล่าให้ฟังถึงความยากลำบากที่ในชีวิตที่ผ่านมา   ด้วยสีหน้าและแววตาอันหม่นหมอง  เป็นชีวิตที่แสนลำเค็ญที่ต้องทำมาหากิน  พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เงินมาเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว  ปัจจุบันจะทำอะไรขายหาเลี้ยงชีพด้วยความยากลำบาก  ทำขนมสารพัดอย่าง  ขนมเหล่านี้ก็ขายไม่ดี  ขาดทุนทุกอย่าง  รู้สึกท้อแท้ต่อชีวิตเป็นที่สุด

            อาตมาได้พิจารณาดูว่า  ทำไมโยมถึงมีความทุกข์ยากอย่างนี้  ทำมากแต่ได้เงินน้อย  กว่าจะได้เงินมาก็ได้มาด้วยความยากลำบาก  จึงได้สอบถามว่าโยมได้มีโอกาสทำบุญบ้างหรือไม่  โยมบอกว่าไม่ค่อยได้ทำบุญเลย  มัวแต่หาเงินเลี้ยงครอบครัว  ไปหาพระก็อยากได้แต่ของขลังที่ทำให้ค้าขายดี  มีกำไรมาก  แต่ไม่ค่อยได้บุญ  ดังนี้แหละตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า  คนเราที่เกิดมานั้น  มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์  มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ใครทำกรรมอันใดไว้  ดีหรือชั่ว  ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นอย่างแน่นอน  การที่บุคคลใดได้รับความสุขหรือทุกข์มิใช่ใครมากระทำ  ตัวของเขาเองเป็นผู้กระทำ  ดังนั้นสุขหรือทุกข์ที่เราได้รับ  สืบเนื่องมาจากผลกรรมที่เราได้กระทำไว้แล้วทั้งสิ้น  จงอย่าโทษดินฟ้าอากาศหรือบุคคลอื่นเลย  จงโทษตัวเราเองนั่นเป็นการดีที่สุด

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๒๘   พ.ค. ๕๒

ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อราคะ  ธรรมเหล่านั้นมิใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๓  มิ.ย. ๕๒

สมัยที่มาอยู่วัดพระพุทธบาทตะเมาะในปีแรกๆ  มีพระหลวงตาท่านหนึ่งมาพักอยู่ด้วย  ได้เดินไปบิณฑบาตในหมู่บ้านแม่ตูบพร้อมกัน วันหนึ่งในขณะที่ญาตโยมกำลังใส่อาหารถวายพระ  ปรากฏว่าหมาตัวหนึ่งมาฉี่รดที่จีวรของหลวงตา ทำให้ปลายจีวรเปี๊ยกน้ำ..... อาตมาได้หัวเราะออกมาเพราะความขำแม้จะพยายามอดกลั้นไว้  หลังจากนั้นผ่านไปไม่นาน หลวงตาได้จาก  อาตมาได้ไปบิณฑบาตในหมู่บ้านเหมือนเดิม  ปรากฏว่าหมาได้มาฉี่รดอาตมาถึง ๒ ครั้ง  ในระยะเวลาห่างกันไม่กี่วัน  ทำให้นึกถึงกฎแห่งกรรมว่าเราทำอะไรไว้ดีหรือชั่ว  ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นอย่างแน่นอน  ดังนั้นจงสำรวมระวัง  กาย  วาจา  และใจให้ดี  เพราะทุกอย่างที่ทำลงไปเป็นกรรมที่เราต้องรับผลจากการกระทำเหล่านั้นทั้งสิ้น

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๔  มิ.ย. ๕๒

สมเด็จพระวรรณรัตน์ธรรมรังสี วัดโสมนัสวิหาร พระคุณท่านได้กล่าวไว้ว่า

            ถือตนถือดิน            อวดตนอวดดิน

            อวดกินอวดขี้            อวดดีแก่ตาย

            อวดสบายแก่โรค    นั่งโงกงนแก่แล้วแลว่าตน  รูปตนคือผี.....ดีอย่างไร

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๕  มิ.ย. ๕๒

       เด็กหญิงแอร์ปอ  เด็กน้อยชาวกะเหรี่ยงได้ติดตามพ่อ แม่ ไปปฏิบัติธรรมที่วัด อยู่ ๕วัน สามารถปฏิบัติธรรมได้ไม่แพ้ผู้ใหญ่  กลับไปบ้านยังชอบสวดมนต์เป็นประจำ  จะเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่  ก็มีใจดวงเดียวกัน  จิตใจไม่มีแก่  มีสภาพเหมือนกันหมด  จะแก่ก็แก่แต่ร่างกายเท่านั้น  การสร้างความดีไม่มีการจำกัดอายุ  สามารถปฏิบัติได้เหมือนกันหมด

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๑๓   มิ.ย. ๕๒

       โยมญี่ปุ่นได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัด  ระหว่างวันที่ ๓-๑๓ มิ.ย.๕๒ ที่ผ่านมา  ปรกติโยมคนนี้เป็นคนที่เคร่งครัดและเคร่งเครียดในการปฏิบัติ  การปฏิบัติที่ผ่านมาทำให้คลายความเครียดไปได้มาก  เพราะอาศัยธรรมชาติที่เงียบสงบ  ทำให้จิตใจสงบตามไปด้วย                                                              ในวันหนึ่งงูเขียวได้ไปที่กุฏิที่พักของตน  เพราะต้องการมากินตุ๊กแกที่อาศัยอยู่ที่กุฏินั้น  ตนเองมีความกลัวงูนั้นเป็นอย่างมาก  จึงได้นำผ้าไปอุดรูกันงูจะเข้าไปที่กุฏิของตน  เมื่อทำเสร็จแล้วจึงได้มีสติรู้ตนเองว่า  ตนเองยังมีความกลัวตายเป็นอย่างมาก  รู้สึกตนเองขึ้นมาทำให้เกิดธรรมสังเวชว่า  ความกลัวของมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ก็คือความตายนั่นเอง

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๑๔  มิ.ย. ๕๒

            พุทโธนั้นเป็นของเด็กๆ จะให้แน่ต้อง..................นี่เป็นคำพูดของผู้ปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งที่อาตมาสมัยเป็นนักเรียนไปปฏิบัติที่สำนักแห่งหนึ่ง  โยมคนนี้ได้พูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจในแนวทางการปฏิบัติของตน  อาตมาก็แปลกใจว่าทำจึงพูดเช่น  เก็บความสงสัยมาโดยตลอด  กาลเวลาผ่านไป  จึงได้รู้ว่าคำพูดเช่นนี้เป็นความเห็นที่ผิดเป็นอย่างยิ่ง  เพราะการปฏิบัตินั้นพระพุทธองค์ทรงสอนถึง ๔๐ วิธี ตามแต่จริตนิสัยของแต่ละคนว่าใครถนัดเช่นไร  ที่วัดอาตมาไม่ปิดกั้นว่าใครปฏิบัติแนวไหนก็ได้ที่ตนถนัด  สุดท้ายเพื่อการละปล่อยวางกิเลสตันหาอุปาทานทั้งหลายเป็นใช้ได้  พระญี่ปุ่นองค์หนึ่งชอบแนวสติปัฏฐานสูตรภาวนา ยุบหนอ  พองหนอ  อีกองค์หนึ่งชอบภาวนา พุทโธ   ก็เห็นท่านทั้งสองไม่มีความคิดที่ว่าของตนเองนั้นดีกว่าของคนอื่น  ดังนั้นผู้ปฏิบัติจึงสมควรที่จะทำใจให้กว้าง  เพื่อที่จะรับสิ่งที่ดีๆเข้ามาในตนเอง

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๑๖  มิ.ย. ๕๒

            ปีพ.ศ. ๒๕๓๔ อาตมาได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อฤษีลิงดำ  ที่บ้าน พลอากาศเอกอาทร โรจนวิภาต ดอนเมือง หลวงพ่อท่านถามอาตมาว่าปฏิบัติธรรมแล้วได้อะไร  อาตมาตอบว่า “ผมได้ความสบายใจครับ”  ท่านได้เมตตาตอบว่า เออ ! นักปฏิบัติธรรมเขาต้องการอย่างนี้อย่างเดียวเท่านั้นอย่างอื่นไม่ใช่นะ ”  จะเห็นว่าการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงนั้นเราทำเพื่อความสบายใจ  ใจสบายจะไม่รักชอบใคร  ใจสบายจะไม่โกรธใคร  ใจสบายจะไม่เกลียดใคร  ใจสบายเป็นมัชฌิมาปฏิปทา  เป็นทางสายกลาง ท่านผู้ปฏิบัติควรยึดเป็นแนวทางในการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๑๗  มิ.ย. ๕๒

วันหนึ่งอาตมาได้มีโอกาสไปกราบพระอาจารย์กัญหา  สุขกาโม ที่วัดแพร่ธรรมาราม  จ.แพร่ กำลังสนทนาธรรมกับพระอาจารย์อยู่  พระอาจารย์ท่านพูดกับอาตมาว่า “ทราบแล้วเปลี่ยน ”  อาตมาได้ตอบท่านว่า ครับทราบแล้วเปลี่ยน ไม่ทราบไม่เปลี่ยน  ท่านพูดแค่นี้ อาตมาก็ตอบท่านไปแค่นั้นเช่นกัน  โดยที่ไม่มีคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น  ญาตโยมทั้งหลายลองคิดดูเถิดว่าปริศนาธรรมที่พูดนี้เป็นเช่นไร

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๑๘  มิ.ย. ๕๒

            เมื่อประมาณ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว  ได้มีโอกาสพาญาตโยมไปกราบพระอาจารย์เปลี่ยน  ปญฺญาปทีโป ที่วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่   พวกเราไปถึงประมาณเกือบสองทุ่ม    (๒๐.๐๐ น.) เมื่อไปถึงพระอาจารย์ท่านรออยู่ที่กฏิด้านนอก  เมื่อเห็นคณะของพวกเรามาท่านบอกว่า  เร็วๆหน่อยคืนนี้จะเดินทางไปภาคอีสาน  รออยู่ตั้งนานแล้ว  อาตมาแปลกใจเหลือเกินว่าการที่ได้เดินทางมาวัดของท่านนั้น  ก็มิได้กราบเรียนท่านก่อน ทำไมท่านถึงทราบและรอคณะของเรา  นี่แหละพลังบามีของผู้ที่ฝึกสั่งสมมานานแล้ว  ย่อมสามารถรู้เห็นในสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถจะกระทำได้

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๑๙  มิ.ย. ๕๒

            เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๒๗ ในวันทำบุญพระศพครบ ๑๐๐ วัน ของหลวงปู่ครูบาพรหมจักร ที่วัดพระพุทธบาทตากผ้า อาตมาได้มีโอกาสไปร่วมทำบุญในครั้งนี้ด้วย  ในวันนั้นหลวงปู่หล้า (ตาทิพย์) วัดป่าตึง อ.สันกำแพง ท่านได้มาร่วมงานด้วย  อาตมาได้เข้าไปกราบท่าน ท่านได้มองหน้าอาตมาสักพักหนึ่งแล้วท่านได้พูดขึ้นมาว่า “ปฏิบัติธรรมดีแล้ว  ละกามให้ได้นะ เป็นครั้งแรกที่หลวงปู่ท่านพูดกับอาตมา ท่านต้องมีอะไรดีแน่นอนจึงสามารถหยั่งรู้สภาวะจิตของผู้ปฏิบัติธรรมได้                        ได้เคยสอบถามจากพระอาจารย์เกษม ผู้เป็นพระอุปัฏฐากหลวงปู่ว่า  ทำไมญาตโยมจึงเรียกหลวงปู่ว่า หลวงปู่หล้าตาทิพย์  ท่านได้เมตตาเล่าให้ฟังว่า สมัยหนึ่งในเวลากลางคืนหลวงปู่ได้ไปเรียกพระคุณเจ้าในวัดท่านหนึ่งให้ออกจากกุฏิที่พักในคืนนั้น  ท่านบอกว่าให้รีบออกมาโดยเร็ว  ต้นไม้ใหญ่จะล้มใส่กุฏิหลังนี้ในไม่ช้านี้  พอพระท่านออกมาไม่นานต้นไม้ก็ล้มใส่กุฏิหลังนั้นจริงๆ นี่แหละเป็นที่มาของคำว่า  หลวงปู่หล้าตาทิพย์

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๒๐  มิ.ย. ๕๒

จิตเป็นพลังงานอย่างหนึ่งที่อยู่ในกายมนุษย์   เมื่อมนุษย์สามารถรักษาจิตให้อยู่ในกายได้(อยู่กับปัจจุบัน)  จะทำให้จิตมีพลังงานเพียงพอที่จะหมุนเวียนในตัว  ทำให้จิตสงบ  และมีความสุข  แต่ถ้าไม่สามารถรักษาจิตให้อยู่ในตัวได้(คิดไปในเรื่องอดีตและอนาคต)  จะทำให้พลังงานในตัวไม่เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงร่างกายได้  จึงทำให้ร่างกายเกิดการกระสับกระส่าย ทำให้เกิดความทุกข์เพราะจิตไม่มีความสมดุล  ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า “  ผู้มีสติอยู่กับปัจจุบัน  ความทุกข์ทั้งหลายจะไม่เข้ามาในใจเราเลย  พวกเราทั้งหลายควรที่จะสร้างสติคือความระลึกได้ และสัมปชัญญะ คือความรู้ตัวทั่วพร้อม ให้อยู่กับปัจจุบันเสมอๆ  เพื่อความสุขที่แท้จริงในใจของเรา

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๒๒  มิ.ย. ๕๒

เมื่อวันที่ ๒๕ มิ.ย. – ๖ ก.ค. ๕๒ ได้มีโอกาสไปประเทศศรีลังกา  เพื่อนำพระฮุคุย  ฐานวโร ไปจำพรรษาที่ประเทศศรีลังกา  เมืองกูรูเนการ่า  ตามที่โยมจายันตา  วสรามุนี  ผู้มีศรัทธาถวายที่ดินพร้อมที่พัก ให้ปฏิบัติธรรม  คนศรีลังกาส่วนใหญ่เขามีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก  มีการสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิและเจริญจิตภาวนา พวกเขามีความเคารพเลื่อมใสในต้นโพธิ์ซึ่งเป็นองค์แทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง  ได้เห็นพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา  ที่ทำด้วยใจศรัทธาแล้วน่าอนุโมทนากับพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๗ ก.ค. ๕๒

ชาวศรีลังกาถึงแม้จะมีความเลื่อมใสในศาสนา  แต่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนานั้นเท่าที่พิจารณาดูยังไม่ค่อยเข้าใจในแก่นแท้เท่าไหร่นัก  ส่วนมากจะหนักไปในเรื่องพิธีกรรม ต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้  ซึ่งก็คงดีกว่าไม่ทำอะไรเสียเลย  ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถคงจะทำให้พวกเขามีการพัฒนาจิตได้ดียิ่งขึ้น

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๗ ก.ค. ๕๒

ประเทศไทยของเราแม้จะมีผู้ศรัทธาเลื่อมใสในพระศาสนา  ที่มองเห็นเป็นรูปธรรมไม่เข้มแข็งเท่าประชาชนในประเทศศรีลังกา แต่เรามีครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  ที่คอยแนะนำสั่งสอนพุทธบริษัททั้งหลายให้พ้นจากความทุกข์เป็นจำนวนมาก  ขอให้พวกเราจงสร้างศรัทธาให้เข้มแข็ง ในการประพฤติปฏิบัติธรรมยิ่งๆขึ้นไป 

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๗ ก.ค. ๕๒

หลวงปู่บุดดา  ถาวโร  ท่านกล่าวไว้ว่า ผู้ปฏิบัติได้ถูกต้องนั้น  ปฏิบัติเพียงวันเดียวก็สามารถเข้าถึงมรรคผลนิพพานได้  แต่ถ้าปฏิบัติไม่ถูกต้อง  จะปฏิบัติสักร้อยปีก็ไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาได้

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๘ ก.ค. ๕๒

ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง  เป็นผู้มีชื่อเสียงในการสั่งสอนประชาชนทั้งหลายเป็นจำนวนมาก  ในเย็นวันหนึ่งอาตมาได้มีโอกาสไปกราบนมัสการท่าน  มีประชาชนผู้เลื่อมใสไปฟังธรรมเป็นจำนวนมาก  มีคำพูดที่ท่านกล่าวกับญาตโยมว่า “นิพพานนะ นิพพานนะ”  ทุกคนนั่งฟังด้วยอาการอันสงบ  ในเวลาที่ห่างกันไม่นานนัก ท่านพูดว่า  “รวย  รวย  รวย ทุกคนนะ”   ชนทั้งหลายที่นั่งฟังพูดด้วยเสียงอันเดียวกันว่า สาธุ  สาธุ จะเห็นว่าชนทั้งหลายมีความปรารถนาทรัพย์ภายนอกมากกว่าทรัพย์ภายใน แต่แท้จริงแล้วพวกเราทั้งหลายจงเร่งหาทรัพย์ภายในกันให้มากๆเถิด  ทรัพย์ภายนอกนั้นจะตามมาเองถ้าทรัพย์ภายในของเราดีแล้ว  คือ ใจดี ใจสบาย ย่อมเป็นบ่อเกิดแห่งอริยทรัพย์ทั้งหลาย

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๙ ก.ค. ๕๒

โยมอาวีเป็นคนงานที่มาทำงานเป็นแม่ครัวที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะ  เมื่อประมาณ ๕ ปีที่แล้ว ตอนที่มารับหน้าที่ครั้งแรกๆ  โยมคนนี้ทำกับข้าวทางภาคกลางไม่เป็น อาตมาต้องการให้ทำอาหารที่มีสุขภาพที่ดี  อาหารที่รสไม่เค็ม  ไม่เผ็ด ไม่มันเกินไป  รสชาติพอดีๆ  ในตอนแรกๆอาตมาฉันอาหารที่โยมทำแทบไม่ลง  ทนฝืนฉันไปอย่างนั้นเพราะถือว่าเราเป็นพระ  ฉันอาหารเข้าไปเพื่อความอยู่รอดเพื่อให้ร่างกายที่มีอยู่  ได้ใช้ในการปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ในที่สุด  แต่พระทาคาสิพระภิกษุชาวญี่ปุ่นบอกว่าทำอาหารเหมือนคนญี่ปุ่น รสชาติถูกปากดี

กาลต่อมาโยมอาวีมีการพัฒนาฝีมือการทำอาหารให้ดียิ่งๆขึ้นไป  ปัจจุบันใครทีมีโอกาสได้รับประทานอาหารของโยมอาวีต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า  “อาหารอร่อยมาก”  ทั้งๆที่เป็นอาหารมังสะวิรัติ ที่เป็นอาหารธรรมดาไม่ได้วิจิตรพิสดารแต่อย่างไร  ดังนั้นการทำอะไรก็ตามต้องมีความตั้งมั่น ทำอะไรต้องทำจริง  หมั่นวิเคราะห์พิจารณาหาเหตุผล  ในสิ่งที่ตนทำ  ย่อมสามารถลุล่วงประโยชน์ที่ดีได้  ไม่ว่าจะเป็นทางโลกหรือทางธรรมก็ตามที

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๑๐  ก.ค. ๕๒

ในช่วงเวลาประมาณ ๑ เดือนที่ผ่านมา  อาตมาได้ปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง  ตั้งแต่เวลา ประมาณ ๐๔.๐๐ น.จนถึงประมาณ ๒๓.๐๐ น. มีการนั่งสมาธิและเดินจงกรมสลับกันไป  รู้สึกว่าร่างกายมีความสดชื่นดีมาก  ไม่ค่อยง่วงเหงาหาวนอนเลย  จิตใจมีการตื่นตัวอยู่เสมอ  มีความรู้สึกตนเองมีความเนิ่นช้ามานานแล้ว  ปล่อยเวลาให้เสียไปกับการงานและสิ่งที่ไม่เป็นสาระ  ตอนนี้สมควรที่จะหันเข้ามาช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด  ไม่มีใครจะช่วยเราได้นอกจากตัวของเราเอง  ดังนั้นขอท่านทั้งหลายจงอย่าประมาทต่อชีวิตอันน้อยนิดนี้ จงเร่งสร้างความดีให้มีที่พึ่งที่แท้จริงใจของเราเทอด

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๑๒  ก.ค. ๕๒

ผู้ที่ประกอบอาชีพต่างก็คิดว่าตนเองนั้นมีสติในการทำงาน  พวกเขาเหล่านั้นก็น่าที่จะพ้นทุกข์ได้เหมือนกัน  แต่มันมิได้เป็นเช่นนั้น  เพราะการที่จะกระทำตนให้พ้นจากทุกข์ได้นั้น  มีวิธีที่แตกต่างออกไป  ที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำสั่งสอนเป็นแบบแผนที่ดีมีคุณค่าเป็นอย่างมาก  ดังนั้นพุทธวิธีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ  ที่เราต้องศึกษาและปฏิบัติตามเพื่อความพ้นทุกข์ในวัฏฏะสงสารเป็นที่สุด

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๑๓  ก.ค. ๕๒

เมื่อวันที่ ๑๖ ก.ค. ๕๒ ได้มีโอกาสไปกราบนมัสการพระอาจารย์เปลี่ยน  ปัญญาปทีโป  ที่วัดอรัญญวิเวก  พระอาจารย์ไม่ค่อยสบายสุขภาพไม่ดีอยู่หลายเดือน  ในการไปครั้งนี้ท่านมีความเมตตาอาตมาเป็นพิเศษกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา  จับมืออาตมาและสนทนาธรรมด้วยความเมตตา  ท่านคงจะทราบด้วยญาณวิถีว่า  อาตมากำลังปฏิบัติธรรมเพื่อถอดถอนกิเลสที่มีอยู่ในใจให้หมดสิ้นไป  จึงได้มีความเมตตาเช่นนี้ 

อาตมานึกถึงเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ สมัยนั้นกำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนนายเรืออากาศ ชั้นปีที่ ๔ ได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อชา สุภัทโท ที่วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี  ในคืนวันหนึ่งได้ปฏิบัติธรรมตลอดทั้งคืนเพื่อถวายเป็นพุทธบุชา  ในวันรุ่งขึ้นได้ไปกราบหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง  ท่านมีความเมตตาอาตมาเป็นอย่างมาก  ได้แสดงธรรมโปรดประมาณ ๒ ชั่วโมง  ก่อนจะลากลับได้เข้าไปกราบที่เท้าของท่าน  ท่านได้ลูบศีรษะของอาตมาพร้อมกับพูดว่า “นิพพานนะ”  ทำให้รู้สึกขนหัวลุกด้วยความปิติยินดีในความเมตตาของท่านเป็นอย่างยิ่ง  จึงทำให้มีกำลังใจในการปฏิบัติธรรมจนถึงปัจจุบันนี้

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๑๘  ก.ค. ๕๒

การปฏิบัติธรรมนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้มีความเพียรในการปฏิบัติธรรมอย่างไม่ลดละ  ทำจิตให้เหมือนกับว่าเราจะปฏิบัติให้ได้มรรคผลเดี๋ยวนี้  ปัจจุบันนี้  แต่ทำด้วยความปล่อยว่าง  ให้ตั้งใจปฏิบัติ  ปฏิบัติ  แต่เพียงอย่างเดียว  โดยมีสติเฉพาะหน้าอยู่ที่อิริยาบถน้อยใหญ่  แม้มรรคผลยังไม่ปรากฏ  เมื่อทำอย่างถูกต้องย่อมได้รับผลคือความสุขความสงบ  ในจิตใจชองผู้ปฏิบัติที่มีความเพียรเครื่องเผากิเลส    ตามลำดับแห่งภูมิธรรมของตนอย่างแน่นอน

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๑๙  ก.ค. ๕๒

อาตมามักแนะนำการปฏิบัติแก่ผู้สนใจอยู่เสมอว่า  ให้จับอารมณ์สบาย ถ้าใจเราสบายนั่นแหละเป็นหนทางที่ถูกต้อง  เพราะครูบาอาจารย์หลายองค์ได้สอนอย่างนี้  บางคนมีความเห็นว่าถ้าติดอารมณ์สบายระวังจะติดความสุข  เพราะการติดสุขจะทำให้ไม่ได้มรรคผลที่สูงขึ้นไป  ทั้งที่ผู้พูดนั้นไม่ทราบว่าปฏิบัติได้ความสุขหรือไม่  คนเรานั้นก่อนที่จะละมันต้องติดเสียก่อน  ถ้าไม่ติดแล้วจะละได้อย่างไร  หรือว่าจะปฏิบัติเอาแต่ความเครียดเป็นอารมณ์  สุดท้ายก็จะเบื่อหน่ายและไม่อยากที่จะปฏิบัติธรรมอีกต่อไป

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๒๐  ก.ค. ๕๒

สมัยที่บวชพรรษาแรกๆมีความสงสัยว่า  ทำไมครูบาอาจารย์บางองค์ชอบปฏิบัติธรรมแบบทรมานตนเอง  เช่นอดอาหาร  อดนอน  เดินธุดงค์ในที่มีอันตราย  ครูบาอาจารย์บางองค์ชอบปฏิบัติแบบสบายๆ  ไม่ชอบอดอาหาร ฯ มีอยู่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับหลวงปู่บุดดา   ถาวโร  ได้กราบเรียนถามท่านดังที่กล่าวมาข้างต้น  แล้วกราบเรียนถามท่านอีกว่าการปฏิบัติธรรมของครูบาอาจารย์ที่แตกต่างกันอย่างนี้  อะไรจึงจะเป็นทางสายกลางคือมัชฌิมาปฏิปทา  ทางที่ไม่หย่อนเกินไปและไม่ตึงเกินไป  หลวงปู่ได้ตอบปัญหาให้หายสงสัยว่า  มัชฌิมาปฏิปทา(ทางสายกลาง)นั้นอยู่ที่อารมณ์ปัจจุบัน ใครปฏิบัติทำจิตให้อยู่ที่ปัจจุบันในกายของตนได้นั่นแหละจึงจะเรียกว่าทางสายกลาง   ถ้าปฏิบัติเคร่งครัดเพียงใดแต่ถ้าอารมณ์จิตยังฟุ้งซ่านไปในอดีตหรืออนาคต  จิตชองบุคคลนั้นยังไม่นับว่าอยู่ในทางสายกลาง  ทางสายกลางจึงอยู่ที่อารมณ์จิตที่อยู่ในปัจจุบันนี้เดี๋ยวนี้นั่นเอง   

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๒๒  ก.ค. ๕๒

 

หลวงพ่อครูบาวงศ์ท่านสอนว่าการทำความดีอย่าให้มารมันรู้  คือให้เก็บอยู่ในใจของเรา  ถ้าเราเที่ยวป่าวประกาศให้คนโน้นคนนี้รู้ว่าเราจะทำสิ่งนี้  อาจจะมีมารมาทดสอบจิตใจของเรา  ให้เราไม่ประสบสิ่งที่เราปรารถนาและล้มเหลวในการกระทำนั้นๆ  สมัยที่อาตมาเป็นคฤหัสถ์มีความปรารถนาที่จะออกบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา  ได้เก็บความรู้สึกอันนี้เอาไว้ในใจ  เมื่อถึงเวลาจึงได้ออกบวชตามที่ตนปรารถนาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ 

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๒๗  ก.ค. ๕๒

ครูบาพรหมจักร  วัดพระพุทธบาทตากผ้า  อ.ป่าซาง จ.ลำพูน  กล่าวว่า  สมถกรรมฐาน  ต้องอาศัยครูบาอาจารย์ที่มีความรู้แนะนำการปฏิบัติ  ส่วนวิปัสสนากรรมฐานต้องอาศัยธรรมชาติที่ดีเกื้อหนุนต่อการปฏิบัติธรรม ให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๒๘  ก.ค. ๕๒

โยมอ๊อดเป็นโยมพี่ชายของอาตมาเอง  ตั้งแต่เด็กชอบเที่ยวเตร่เฮฮาสนุกสนานตามความชอบใจของตน  รู้จักพระพุทธศาสนาแต่เพียงผิวเผิน  เมื่อครั้งที่ทางวัดจัดปฏิบัติธรรมเป็นเวลา ๑๐ วัน( ๓-๑๓ มิ.ย. ๕๒) โยมก็ไปปฏิบัติด้วยเป็นเวลา ๕วัน  วันนี้ได้มีโอกาสพบกัน โยมได้บอกว่าปัจจุบัน  ได้สวดมนต์นั่งสมาธิทำบุญตักบาตร รู้สึกว่าชีวิตนี้มีความสุขยิ่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก  เพิ่งรู้ว่าคำั่งสอนของพระพุทธเจ้าดีจริงๆ   นี่แหละอำนาจของธรรมของพระพุทธเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจของคนได้จริง  พระพุทธองค์ทรงวางรากฐานเรื่อง ศีล  สมาธิ  และปัญญาไว้ดีแล้ว  อยู่ที่เราว่าจะเดินตามทางของพะพุทธองค์ได้หรือไม่เท่านั้น

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๓  ส.ค. ๕๒

สมัยที่เป็นนักเรียนนายเรืออากาศชั้นปีที่ ๑ เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๙  ได้มีโอกาสไปฝึกการใช้แผนที่ เข็มทิศ ในการเดินทาง และการซ้อมรบในรูปแบบต่างๆ  ในช่วงสุดท้ายของการฝึกจะมีการซ้อมรบในช่วง ๗๒ ชั่วโมง หรือ ๓ วัน ๓ คืน จำได้ว่าวันหนึ่งอาหารที่ได้รับขนาดเท่าซองมาม่าเพียงคนละ ๑ ซอง ในเย็นวันนั้น  อาตมาและเพื่อนๆหิวอาหารกันเป็นอย่างมากเพราะอาหารที่ได้รับมาไม่เพียงพอต่อความต้องการ จนต้องออกไปนำกล้วยดิบของชาวบ้านในบริเวณนั้นมาต้มกินเพราะหาอาหารอย่างอื่นไม่ได้  ปรากกฎว่าอาหารมื้อนั้นเป็นอาหารที่อร่อยที่สุด  ไม่มีอาหารมื้อไหนจะอร่อยเท่าอาหารมื้อนี้อีกเลย  ปัจจุบันแม้กาลจะผ่านไป ๓๐ กว่าปีแล้ว  แต่ความทรงจำเก่าๆยังหลงเหลืออยู่  ดังนั้นความประทับใจคงอยู่ที่ความเหนื่อยยากและความหิวนั่นเอง  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า  ความหิวเป็นทุกข์อย่างยิ่ง  ดั่งที่ครูบาวงศ์ท่านกล่าวเป็นภาษิตว่า อิ่มอย่าลืมอยาก  ปากอย่าลืมใจ  ไปอย่าลืมทาง เป็นมนต์ขลังของผู้ปรารถนาจะทำความดี ให้ได้ดียิ่งขึ้นไป

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๔  ส.ค. ๕๒

ได้มีโอกาสศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมจากครูบาอาจารย์หลายองค์  ที่มีแนวฝึกที่เหมือนและแตกต่างกัน  ตามความถนัดของแต่ละท่าน  แต่สุดท้ายแล้วตัวเราเองต้องหาจริตนิสัยในการปฏิบัติที่เป็นตัวของเราเอง  ธรรมเหล่าใดที่เราปฏิบัติแล้วทำให้เรามีความสบายใจ  มีความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติ  จงยึดเอาแนวทางนั้น พร้อมกับตรวจสอบแนวทางที่พระองค์ทรงตรัสสอนว่าตรงกับที่เราปฏิบัติหรือไม่ ศรัทธาที่ดีต้องประกอบด้วยปัญญาจึงจะเกิดผลที่ดี มิใช่เป็นศรัทธาหัวเต่าหุบเข้าหุบออก  ทั้งนี้เพื่อการปฏิบัติที่ดีงามของเราตลอดไป

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๕  ส.ค. ๕๒

ได้ปรารถธรรมกับพระคุณเจ้าที่อยู่จำพรรษาด้วยกัน  ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม  เพราะการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นการทวนต่อกระแสโลก ต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและติดต่อกัน  จึงจะเกิดผลดีต่อผู้ปฏิบัติเอง  ถ้าปฏิบัติจนถึงจุดหนึ่งแล้ว  การปฏิบัติจะเป็นไปตามธรรมชาติ    จะมีผู้รู้เกิดขึ้นมาในจิตผู้รู้นั่นแหละจะสั่งให้ร่างกายทำอย่างนั้นทำอย่างนี้  และจะมีความเพียรอย่างแรงกล้า สามารถปฏิบัติได้ทั้งวันทั้งคืน ผลคือจะได้รับความสุขความสงบที่ยิ่งใหญ่อันเกิดจากการปฏิบัติที่เราตั้งไว้โดยชอบแล้ว

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๖  ส.ค. ๕๒

วันนี้เป็นการนำปฏิบัติธรรมวันที่ ๓ มีพระ ๕ รูป  อุบาสก อุบาสิกา ๑๑ คน ญาตโยมเริ่มที่จะเข้าใจในการปฏิบัติธรรม  ทำให้ใจมีความสงบขึ้นเป็นลำดับ  สังเกตจากสีหน้าท่าทางที่เริ่มสงบเย็นสบาย  ถ้าเราปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน  จะไม่ผิดพลาดได้เลย  ยกเว้นเราจะละเว้นการปฏิบัติหรือปฏิบัติไม่จริงจัง   ผลก็จะได้ไม่จริงจังเช่นเดียวกัน  ดังนั้นเราจะได้ดีหรือไม่นั้น  ไม่ได้อยู่ที่บุคคลอื่นแต่อยู่ที่ตัวเรานั่นเอง

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๙  ส.ค. ๕๒

วันนี้เป็นการนำปฏิบัติธรรมวันที่ ๓ มีพระ ๕ รูป  อุบาสก อุบาสิกา ๑๑ คน ญาตโยมเริ่มที่จะเข้าใจในการปฏิบัติธรรม  ทำให้ใจมีความสงบขึ้นเป็นลำดับ  สังเกตจากสีหน้าท่าทางที่เริ่มสงบเย็นสบาย  ถ้าเราปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน  จะไม่ผิดพลาดได้เลย  ยกเว้นเราจะละเว้นการปฏิบัติหรือปฏิบัติไม่จริงจัง   ผลก็จะได้ไม่จริงจังเช่นเดียวกัน  ดังนั้นเราจะได้ดีหรือไม่นั้น  ไม่ได้อยู่ที่บุคคลอื่นแต่อยู่ที่ตัวเรานั่นเอง

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๙  ส.ค. ๕๒

โยมผู้พิพากษาท่านหนึ่ง ได้มีโอกาสไปปฎิบัติธรรมในครั้งนี้ด้วย  โยมคนนี้มีศรัทธาในปฏิปทาของครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง  ประมาณ ๓๐ ปีมาแล้ว  ศึกษาตำรับตำรามามาก  เมื่อก่อนตนเองคิดอยู่เสมอว่า  ไม่ต้องการปฏิบัติที่เคร่งเครียด  ต้องตื่นแต่เช้าและปฏิบัติวันละหลายชั่วโมง  แต่พอได้ไปปฏิบัติในครั้งนี้ซึ่งวันนี้เป็นวันที่ ๕ ของการปฏิบัติ  ปฏิบัติรวมกันวันละประมาณ ๘ ชั่วโมงและกลับไปปฏิบัติต่อยังที่พักอีก  โยมเริ่มได้รับความสงบจากการปฏิบัติยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ  โยมบอกว่าเมื่อก่อนคิดว่าไม่ต้องปฏิบัติมากก็ได้   แต่ตอนนี้มีความเชื่อว่าสิ่งที่ตนเองคิดนั้นไม่ถูกต้องนัก  ต้องลงมือปฏิบัติให้มากๆจึงจะบังเกิดผลในการปฏิบัติ  เพราะกิเลสนั้นเป็นสิ่งที่ลึกอยู่ภายในต้องไปล้างจากข้างในออกมา  ดังนั้นผู้มี่ศรัทธาในความดีควรน้อมนำการปฏิบัติใน ศีล สมาธิ  ปัญญา ให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป  เพื่อความสุขที่แท้จริงในใจของเราเอง 

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑๑   ส.ค. ๕๒

เมื่อวันที่ ๑๑ ส.ค.๕๒ ได้มีโอกาสไปกราบพระอาจารย์เปลี่ยน ฯ ขากลับได้แวะไปที่ร้านของโยมศิริโชค  ได้พบโยมไทผู้เป็นภรรยาของโยมศิริโชค  โยมไทป่วยเป็นไมเกรนโดยมีอาการปวดหัวข้างเดียว รับประทานยาอะไรก็ไม่หาย  มีแต่อาการบรรเทาเป็นระยะ  โยมได้เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ของการป่วยในอดีตว่า เมื่อก่อนโยมปวดหลังเป็นอย่างมาก  ย้อนนึกถึงกรรมที่ได้ทำไว้กับแมวที่เลี้ยงไว้ตัวหนึ่ง  วันหนึ่งแมวตัวนี้ไปลักขโมยกินปลาที่เก็บไว้  โยมโกรธมันเป็นอย่างมากจึงได้นำไม้ไปฟาดที่หลังของมัน ปรากฏว่ามันหนีหายไปหลายวัน ตอนหลังได้พบมันนอนป่วยมีอาการเป็นแผลที่หลังเพราะรอยถูกตี  และเสียชีวิตในภายหลัง  ตอนมาโยมไทมีอาการปวดหลังเป็นอย่างมากทานยาอะไรก็ไม่หาย  จึงได้ปรึกษากับสามีนิมนต์พระ๔รูป มารับทานโดยถวายพระพุทธรูปและจตุปัจจัยแก่พระสงฆ์ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับแมวตัวนั้น เพื่อให้มันอโหสิกรรมให้  ปรากฏว่าอาการป่วยได้หายมาจนถึงปัจจุบัน                                                                                                          อาการปวดหัวของโยมที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน  โยมได้เคยไปบีบหนอนตายหลายร้อยตัว  ที่มากินพริกที่ปลูกไว้  ในระยะนี้โยมมีอาการปวดหัวเป็นอย่างมาก คิดว่าในอนาคตอันใกล้นี้คงจะต้องนิมนต์พระมาทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้กับหนอนที่เคยฆ่าไว้  เพื่อให้มันอโหสิกรรมให้ เพราะการป่วยเจ็บนั้นมันทรมานเหลือเกิน  ดังนั้นใครทำกรรมอันใดไว้  ดีหรือชั่วย่อมได้รับผลของกรรมนั้นอย่างแน่นอน

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑๓   ส.ค. ๕๒

อาวีเป็นคนงานที่วัดเมื่อวันที่  ๙ ส.ค. ๕๒ โยมบอกกับโยมหล้ามัคคทายกที่วัดว่าวันนี้คงจะไม่รอดต้องตายแน่ เพราะมีอาการปวดหัวที่ศีรษะเป็นอย่างมาก  ป่วยอยู่สิบกว่าวันแล้วได้พาไปหาหมอรับประทานยาทั้งยาปัจจุบันและยาสมุนไพร  อาการเป็นหายๆแต่วันนี้มีอาการหนักมาก คิดว่าคงจะไม่รอด  อาตมาได้ทราบข่าวจากโยมหล้า จึงได้ช่วยเหลือโดยการเปิดตำราฝังเข็มที่มีอยู่  ได้ฝังเข็มตามจุดที่เขาบอกไว้จำนวน ๖ เข็ม ฝังได้ ๒๐ นาทีได้นำเข็มออก  อาการป่วยดีขึ้นมาเป็นอย่างมาก  วันรุ่งขึ้นได้ฝังโยมอาวีอีกครั้งหนึ่งอาการป่วยได้หายเป็นปกติ  ต่อมาอีก ๒-๓ วันได้ฝังอีกอาการป่วยได้หายไป  นับว่าการฝังเข็มเป็นการช่วยเหลือที่ดีอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งอาตมาได้ใช้รักษาตนเองมาหลายครั้งในเรื่องของการปวดหัว  เป็นไข้ และปวดเมื่อยตามร่างกาย

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑๔   ส.ค. ๕๒

โยมพี่แดงซึ่งเป็นพี่สาวของอาตมาได้มาช่วยงานที่วัดและปฏิบัติธรรมอยู่หลายวัน  วันหนึ่งได้บอกกับอาตมาว่า  เริ่มจับลมหายใจที่ปลายจมูกได้บ้าง รู้สึกสบายใจดี  อารมณ์สบายสักสองสามมาแล้ว  จะเห็นได้ว่าการปฏิบัติธรรมนั้น  ต้องมีความใส่ใจในการที่จะทำให้ตนเองนั้นมีสติ คือ ความระลึกได้และมีสัมปชัญญะ คือความรู้ตัวทั่วพร้อม เป็นสิ่งที่ดูเหมือนทำง่าย  แต่เป็นการกระทำที่ยากพอสมควร  เพราะมันฝืนต่อกิเลสของปุถุชนธรรมดา  คนเราชอบคิดถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้ว  และพะวงถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง จึงพบกับความสุขและความทุกข์คละเคล้ากันไปอย่างหาที่สุดมิได้  ผู้รู้ย่อมหาเป็นเช่นนั้นไม่

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๒๓  ส.ค. ๕๒

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีคณะนักเรียนโรงเรียนบ้านไร่ประมาณ ๒๐ คนมาทำกิจกรรมที่วัด  โยมครูผู้ควบคุมได้พูดเกี่ยวกับการทำแก็สชีวภาพที่ทำมาจากมูลสัตว์  ซึ่งอาตมาได้ยินมานานแล้ว  จึงได้เปิดดูทางเว็บไซด์  ได้นำออกมาทำที่วัด  ในอาทิตย์ต่อมาคณะนักเรียนชุดเดิมได้มาที่วัดเพื่อที่จะให้ทางวัดช่วยสอนการทำสบู่ จากน้ำมันมะพร้าว  และน้ำมันปาล์ม  ได้เห็นถังแก็สชีวภาพเกิดความสนใจในการที่จะนำไปทำเป็นอย่างยิ่ง  จะเห็นได้ว่าทุกคนมีโอกาสที่จะเรียนรู้สิ่งแปลกๆใหม่ๆอย่างหาที่สิ้นสุดมิได้  ความผิดพลาดย่อมเกิดจากผู้กระทำเสมอๆ  แต่ความผิดนั่นแหละจะเป็นครูของเราในภายหลัง  ผู้ที่ไม่ผิดคือผู้ที่ไม่ทำอะไรเลย  ทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งทรัพย์ทางโลกและทางธรรม  ย่อมเกิดจากปัญญาของผู้ที่หมั่นฝึกฝนให้เกิดให้เป็นให้มี  ปัญญาย่อมเกิดไม่ได้เลยถ้าเราไม่หมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญญาในทางธรรมเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นจนนอน  จึงจะได้ผลตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๒๔  ส.ค. ๕๒

นิตยสารไทม์ของประเทศอเมริกาได้วิจัยกลุ่มชนที่มีความสุขที่สุดในโลก  คือกลุ่มชนที่ปฏิบัติสมาธิในพระพุทธศาสนา  ดังนั้นผู้ที่เลื่อมใสในหลักพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  จงตั้งใจกันประพฤติปฏิบัติในศีล สมาธิ  และปัญญา  เพื่อความสุขที่แท้จริงของชีวิต   มิใช่ปฏิบัติแค่สมาธิอย่างเดียวเท่านั้น

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๒๖  ส.ค. ๕๒

เมื่อต้นเดือนสิงหาคมนี้ได้มีโอกาสได้พบกับโยมนักเรียนรุ่นน้อง  ซึ่งไม่ได้พบกันมาประมาณ ๓๐ ปี โยมคนนี้มีความศรัทธาในการปฏิบัติธรรม  แต่จะได้แค่ไหนนั้นลองพิจารณากันดู                                                                    เมื่อได้พบกันโยมได้ถามอาตมาว่า  หลวงพี่ปฏิบัติธรรมได้ถึงไหนแล้ว  ได้ตอบไปว่าได้ถึงปัจจุบัน  โยมได้บอกว่า หลวงพี่ไปทำอะไรมาได้แค่นี้เองนะหรือ   ผมเองได้แล้วมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ โยมได้สาธยายธรรมะต่างๆนาๆ  ได้พบครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายองค์  ครูบาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้ชมตนเองว่าปฏิบัติดีอย่างนั้นอย่างนี้  อาตมาก็ได้แต่รับฟังโยมคนนี้พูดไปเรื่อยๆ  สุดท้ายก็สรุปว่าโยมคนนี้เก่งกว่าอาตมามาก  ในความคิดของเขา  เพราะอาตมาได้แค่ปัจจุบันเท่านั้นเอง ที่จริงแล้วไม่อยากเขียนลงในที่นี้  แต่เมื่อเล่าให้ญาตโยมฟังหลายคนบอกว่าควรเขียนให้ผู้อ่านทั้งหลายได้พิจารณาว่าใครเป็นเช่นไร  บางอย่างที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนแสนที่จะง่าย เช่นทรงสั่งสอนว่าทำอะไรให้มี สติ คือ ความระลึกได้ และมี สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัวทั่วพร้อม  แต่คนส่วนมากเห็นว่าไม่เห็นมีอะไร  แล้วก็ละเลยไม่ชอบปฏิบัติตาม  หมกมุ่นอยู่ในอดีตและอนาคต  คุยโม้โอ้อวดซึ่งกันและกัน  แล้วก็ปล่อยเวลาให้ผ่านไปวันหนึ่งๆ  แล้วเมื่อไหร่จะถึงจุดหมายปลายทางกันเสียที

  พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๒๗  ส.ค. ๕๒

สติและสัมปชัญญะ เป็นธรรมที่มีอุปการะแก่การปฏิบัติธรรมเป็นอย่างมาก  ยิ่งค้นดูในจิตใจของเรา  ยิ่งมีความลุ่มลึกเป็นลำดับเหมือนทะเลที่ค่อยๆราบเรียบลงไป  ยิ่งค้นดูยิ่งพบความสุขที่ลุ่มลึกลงไปเรื่อยๆ  เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน สำหรับผู้ที่ลงมือปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเท่านั้น ฉะนั้นผู้มีความเพียรเครื่องเผากิเลส  จึงเป็นบุคคลที่น่านำมาเป็นตัวอย่างในการสร้างความดีมากที่สุด  เพราะเขาเหล่านั้นพยายามที่จะชนะกิเลสที่มีอยู่ในใจของตนเอง  และพร้อมที่จะยอมแพ้ต่อบุคคลอื่น  ไม่ว่าจะถูกกล่าวร้ายป้ายสีประการใด ก็จะยอมแพ้ด้วยอาการอันสงบ ถือว่าเป็นกรรมที่เคยสร้างกันไว้ต้องมารับใช้กรรมเหล่านั้น แต่จะไม่ยอมแพ้ต่อกิเลสที่จะไปโกรธแค้นบุคคลอื่น  เพื่อสันติสุขที่แท้จริงในใจของตนเอง

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๒๙  ส.ค. ๕๒

แม้จะได้รับทราบจากคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์เสมอว่า  พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า  อานนท์เธอจงปฏิบัติให้มากทำให้มาก(ตามที่เราตถาคตสั่งสอน)  แล้วเธอจะสิ้นสงสัยในคำสั่งสอนของเรา  แต่ถ้าเธอไม่ปฏิบัติให้มากทำให้มากแล้ว  เธอจะไม่สิ้นสงสัยในคำสั่งสอนของเราเลย                        ทั้งๆที่ได้รับทราบมาแล้วหลายครั้ง แต่ถ้าผู้ไดไม่ลงมือปฏิบัติ  ความซาบซึ้งจะไม่เกิดแก่เขาเหล่านั้นเลย  แต่ถ้าลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง  จนได้รับผลคือความสงบ  นั่นแหละจึงจะเห็นว่า  สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสนี้  เป็นขุมทรัพย์อันมหาศาลที่จะทำให้เราพ้นทุกข์จากวัฏฏะสงสาร ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป 

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๓๐  ส.ค. ๕๒

มีอยู่ครั้งหนึ่งพระอาจารย์เปลี่ยน  ปัญญาปทีโป  ท่านบอกว่ามีพระคุณเจ้าท่านหนึ่ง  ได้มีการเข้าทรงโดยอ้างว่ามีครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงที่ท่านมรณภาพไปแล้ว  มาเข้าทรงร่างของตนเพื่อที่จะโปรดญาติโยมทั้งหลายให้บรรเทาเสียซึ่งความทุกข์  พระอาจารย์เปลี่ยนท่านอยากรู้ว่าเป็นจริงหรือไม่  ท่านจึงได้ไปที่แห่งนั้น  เมื่อถึงเวลาพระองค์นั้นได้ทำพิธีแล้วเชิญครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงองค์ที่ตนนับถือมาเข้าร่างของตน  พระอาจารย์ได้กำหนดจิตดูปรากฏว่าเห็นเป็นสัมภเวสีที่อาศัยอยู่ที่ศาลพระภูมิในบริเวณนั้นจะเข้ามา  ท่านจึงใช้กระแสจิตไล่ไปเสีย  ปรากฏว่าพระองค์ที่ทรงไม่สามารถเข้าทรงได้  จึงได้อัญเชิญครูบาอาจารย์องค์อื่นมาเข้าทรงอีก  ปรากฏว่ามี่สัมภเวสีที่ศาลพระภูมิอีกบ้านหนึ่งจะมาเข้าร่างพระองค์นั้น  พระอาจารย์เปลี่ยนท่านได้ใช้กระแสจิตขับไล่ไปอีก  ปรากฏว่าในวันนั้นพระองค์นั้นไม่สามารถเข้าทรงได้                                                                                       เรื่องของการทรงเจ้าเข้าทรงนั้น  ครูบาวงศ์ท่านบอกว่าเป็นของมีจริง  แต่ของจริงที่ดีแท้นั้นหาได้ยากยิ่งนัก  พวกคนทรงทั้งหลายมักจะทำนายทายทักเรื่องของอดีตและปัจจุบันของเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาได้ถูกต้อง  แต่เรื่องของอนาคตนั้นคงจะไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก  พวกเจ้าทั้งหลายที่มาเข้าทรงมักอ้างว่าเป็นผู้วิเศษจากที่นั่นที่นี่  แต่แท้จริงแล้วก็เป็นสัมภเวสีที่ตายและจิตวิญญาณ  ที่เร่ร่อนไปตามที่ต่างๆนั่นเอง  แต่คนส่วนใหญ่มักนิยมชมชอบในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก                                    การพึ่งพาสิ่งต่างๆภายนอก  เป็นการพึ่งพาที่ไม่ยั่งยืน คนหลงมัวเมาย่อมเป็นเหยื่อกลลวงของสิ่งมัวเมาทั้งหลาย ดังนั้นจงหมั่นเจริญ  ศีล  สมาธิ ปัญญา  เพื่อที่จะได้ขจัดความหลงออกจากจิตใจของ  เพื่อที่จะหาที่พึ่งที่แท้จริงในใจของเราเอง

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๓๑  ส.ค. ๕๒

ได้มีโอกาสอ่านโอวาทคอสอนของพระมหาเถระชาวพม่าองค์หนึ่ง  เกี่ยวกับคำสอนของท่าน  ในเรื่องความรัก  อ่านดูแล้วรุ้สึกว่าคำสอนของท่านต้องนำมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วย  ว่าความหมายนั้นเป็นเช่นไร อาตมาจะขอนำคำสอนของท่านมาให้ญาติโยมได้พิจารณา  เพื่อเป็นการเจริญปัญญา  ในหัวข้อแห่งความรักดังกล่ว   ท่านกล่าวไว้ว่า
            ๑. ตัวเราไมรัก   แต่เขารัก  รักนี้น่าเกลียดนัก
            ๒. ตัวเรานั้นรัก  เขาไม่รัก  รักนี้ทนทุกข์นัก
            ๓. ตัวเรานั้นรัก  เขาก็รัก  รักนี้ดียิ่งนัก
            ๔.  ตัวเราไม่รัก  เขาไม่รัก  รักนี้ประเสริฐนัก
            ๕. ตัวเราไม่รัก  เขาไม่รัก  รักนี้ประเสริฐนัก

ท่านมีตำเฉลยอยู่ก่อนแล้ว  แต่อยากให้ผู้อ่านลองไปพิจารณาดูว่า  ความหมายนี้เป็นเช่นไร  แล้วจะเฉลยให้ทราบในภายหลัง

พระมหานภดล  สิริวฑฺฒโน  ๑ ก.ย.  ๕๒

ท่านมหาเถระองค์นี้ท่านอธิบายไว้ว่า

1.          ตัวเราไม่รัก  แต่เขารัก  รักนี้น่าเกลียดนัก หมายความว่า  การที่ได้อยู่ร่วมกับคนที่เราไม่รักนั้น  เป็นทุกข์

2.          ตัวเรานั้นรัก  เขาไม่รัก  รักนี้ทนทุกข์นัก  หมายความว่า  การที่ไม่ได้อยู่ร่วมกับคนที่เรารักนั้น  เป็นทุกข์

3.          ตัวเรานั้นรัก  เขากรัก  รักนี้ดียิ่งนัก  หมายความว่า  ต่างฝ่ายต่างได้อยู่ร่วมกันด้วยจิตใจที่ตรงกัน  ไม่แบ่งแยก  และได้อยู่ร่วมกันอย่างสามัคคีกันนั้น  เป็นสุข

4.          ตัวเราไม่รัก  เขาไม่รัก  รักนี้ประเสริฐนัก  หมายความว่า  ต่างฝ่ายต่างมีจิตใจ     ตรงกัน  ไม่มีความรัก  ไม่มีความเกลียดซึ่งกันและกัน  และปฏิบัติธรรม             เพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์  และได้ความสุขที่แท้จริง  คือ  พระนิพพาน     

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๒  ก.ย. ๕๒

เมื่อวานนี้มีคณะผู้ปฏิบัติธรรมจากโรงพยาบาลสารภี ๑๑ คน และโยมจากเชียงใหม่ กรุงเทพ อีก ๓ คน รวมเป็น ๑๔ คน  ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัด  เป็นเวลา ๓ วัน ทุกคนก็ต่างตั้งใจในการปฏิบัติธรรมกันเป็นอย่างดี  เพราะคนเรานั้นรู้วันเกิดแต่ไม่รู้วันตายว่าจะมาเมื่อไหร่  แต่สุดท้ายทุกคนก็ต้องตายอย่างแน่นอน  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้เราระลึกถึงความอยู่เสมอ  เพื่อที่เราจะได้เป็นผู้ไม่ประมาทต่อชีวิต  คิดสร้างความดีทำความดีอยู่เสมอ เพื่อที่เตรียมรับกับความตายที่จะมาถึงไม่ช้าก็เร็ว  เพื่อที่จะได้พบสันติสุขที่แท้จริงในใจของเราเอง

            นึกถึงความตายสบายนัก                         มันหักรักหักหลงในสังขาร                                                บรรเทาสิ่งมืดมิดอันธการ                        ทำให้หาญหายสะดุ้งไม่ยุ่งใจ

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๕  ก.ย. ๕๒

ได้มีโอกาสพาคณะครูบาอาจารย์และญาติโยมไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดียประมาณ ๑๐ กว่าครั้ง  โดยส่วนตัวได้ไปมาแล้ว ๑๘ ครั้ง  การไปอินเดียแต่ละครั้งรู้สึกชื่นอกชื่นใจเพราะได้ไปปฏิบัติธรรม  และพิจารณาธรรมสังเวชว่า  พระพุทธองค์แม้จะเป็นบุคคลที่เลิศที่สุด  จะหาใครเสมอเหมือนไม่มีอีกแล้ว แต่พระองค์ก็ต้องดับขันธปรินิพพาน  ไม่สามารถหนีกฎแห่งความจริงไปได้  คือต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตายเป็นของธรรมดา
ปัจจุบันมีผู้แสดงเจตนาที่จะไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดียจำนวน ๓๔ รูป/คน ซึ่งได้จองที่นั่งเครื่องบินไว้ ๓๐ ที่ ต้องขอที่นั่งเพิ่มและเป็นเช่นนี้เสมอในการไปแสวงบุญ ณ ประเทศอินเดียแต่ละครั้ง  ผู้ที่ไปแล้วก็อยากไปอีก  ไม่รู้จักเบื่อหน่ายทั้งนี้เพราะการไปแต่ละครั้ง  เมื่อมีความตั้งใจในการทำความดี  จะมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้นเหมือนทะเลที่ค่อยๆลุ่มลึกลงไปเรื่อยๆ  ไม่ลาดชันเหมือนหน้าผาหรือเหว  ความปิติสุขย่อมลุ่มลึกไปตามลำดับ  ตามความดีที่ได้ปฏิบัติอย่างไม่ท้อถอย เพื่อหวังที่สุดคือพระนิพพาน  อันเป็นบรมสุขอย่างยิ่ง

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๘  ก.ย. ๕๒

การปฏิบัติธรรมเมื่อได้กระทำอย่างต่อเนื่อง  ทำที่ตนประพฤติดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้  ในปัจจุบันธรรมที่ได้กระทำอย่างที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน  จิตใจมีความสุข  เย็น  สบาย  เป็นความสุขที่ไม่สามารถหาซื้อได้ด้วยเงินทองหรือแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งใดๆในโลกนี้  บางครั้งก็รำพึงในใจว่า  สุขหนอ  สุขหนอ  นี่แหละธรรมของพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนว่า “ ที่พึ่งที่แท้จริงสามารถหาได้ในตัวของเรานี่เอง ”  ดั่งที่พระองค์ทรงตรัสว่า  ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน  ใครอื่นไหนเล่าจะเป็นที่พึ่งให้เราได้  เมื่อเราหาที่พึ่งในตัวของเราเองได้  ย่อมได้ที่พึ่งซึ่งหาได้ยากยิ่งนัก 

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๙  ก.ย. ๕๒

วันนี้มีพระภิกษุกายเซน ชาวญี่ปุ่นได้มาเยี่ยมทีวัด พระทาคาสิได้ให้การต้อนรับ  ได้ฉันภัตตาหารเช้าพร้อมกัน  ตอนเย็นมีการอบสมุนไพร  ในระหว่างอบสมุนไพรพระองค์นี้ได้สอบถามอาตมาโดยพระทาคาสิได้แปลให้ฟังว่า  พระอาจารย์บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนามีจุดมุ่งหมายเช่นไร  ได้ตอบท่านว่า  บวชเข้ามาเพื่อปรารถนาความพ้นทุกข์เข้าถึงซึ่งพระนิพพานอันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุด  ได้สอบถามอีกว่าจะทำเช่นไรจึงจะเข้าถึงจุดหมายปลายทางได้  ได้ตอบว่าต้องพยายามมีสติอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด  และถามอีกว่าทำอย่างไรจึงจะมีสติ  ได้ตอบว่าให้เจริญอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก  พระทาคาสิได้สอบถามว่า การปฏิบัติธรรมเมื่อผู้ปฏิบัติได้รับผลคือความสุข   แล้วใครเล่าเป็นผู้รับ  ได้ตอบว่าผู้รับความสุขที่แท้จริงนั้นคือผู้ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้  ที่จริงแล้วต้องอธิบายอีกหลายอย่างในเรื่องของ  ศีล  สมาธิ  และปัญญา แต่มีเวลาสนทนากันน้อยจึงได้พูดกันโดยย่อแต่เพียงเท่านี้

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑๒  ก.ย. ๕๒

พระญี่ปุ่นอายุประมาณ ๒๕ ปี ได้มาพูดคุยก่อนที่จะลาหลับในตอนเที่ยงของวันนี้  เขากำลังตัดสินใจที่จะมาบวชเป็นพระในประเทศไทย  เขาชอบวัดพระพุทธบาทตะเมาะแห่งนี้เป็นอย่างมากและมีแนวโน้มที่จะมาอยู่วัดแห่งนี้  อาตมาแสดงความยินดีถ้าเขาจะมาอยู่ด้วย  เขาบอกว่าพระนิกายเซนในประเทศญี่ปุ่น  มีระเบียบที่เคร่งครัดหลายอย่างตามแบบฉบับของคนญี่ปุ่น  แต่ขาดในเรื่องของธรรมวินัย  จึงทำให้พระดูจะเป็นเหมือนคนทั่วไป  เพราะส่วนใหญ่พระในประเทศญี่ปุ่นสามารถมีภรรยาได้  ทำงานเหมือนคนทั่วไปแตกต่างที่ว่างานพิธีกรรมต่างๆในพระพุทธศาสนา  พระจะรับหน้าที่นี้
            จะเห็นได้ว่าการปฏิบัติแม้จะปฏิบัติเคร่งครัดสักเพียงไร  แต่ถ้าปฏิบัติไม่ถูกต้องแล้ว  ย่อมถึงที่หมายไม่ได้เลย  คนในปัจจุบันนี้ส่วนมากชอบได้อะไรที่ด่วนๆไวๆ  ไม่ค่อยมีความอดทนไม่ได้ก็ใจร้อน  สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเป็นทางตรงทางลัดเห็นว่าเป็นของง่ายเกินไปไม่อยากทำ  ชอบทำอะไรที่มันแตกต่างออกไป แล้วก็พากันวิ่งหาสิ่งที่ไกลตัวออกไป  แต่ยิ่งวิ่งมันก็ยิ่งไม่พบทาง  และเมื่อไหร่ที่ถึงความเหนื่อยล้า  แล้วกลับเข้าทางในตัวของเราเอง  นั่นแหละทางแห่งมรรคผลนิพพานจะบังเกิดในตัวของผู้ปฏิบัตินั้นๆได้

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑๓  ก.ย. ๕๒

วันนี้ได้มีโอกาสดูวีดีโอที่พระอาจารย์บุญถม  นำมาให้ในเรื่อของการระลึกชาติของนายเดชฤทธิ์  ซึ่งเป็นชาวจังหวัดศรีษะเกษ  อดีตเขาเคยเป็นโจรลักควายชาวบ้านแล้วถูกเพื่อนๆฆ่าตาย  แต่ด้วยคุณงามความดีก่อนที่เขาจะตายได้ทำบุญในพระพุทธศาสนา  เขาจึงได้กลับมาเกิดอีกหลังจากที่ตายไปไม่นาน  เขาสามารถระลึกชาติในอดีตได้ทั้งหมด  ซึ่งในหลักของพระพุทธศาสนาพระพุทธองค์ก็ทรงรับรองในเรื่องนี้ ว่าการตายแล้วเกิดนั้นเป็นเรื่องจริง  ดังนั้นพวกเราทั้งหลายจงอย่าประมาทต่อชีวิต  จงรีบทำความดีสร้างความดีเพื่อให้ถึงซึ่งความสุขที่แท้จริงในตัวของเราเอง

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑๖  ก.ย. ๕๒

ยิ่งปฏิบัติมากยิ่งเห็นว่ากิเลสแม้เพียงเล็กน้อย  มันเหมือนกับว่าเป็นกิเลสกองใหญ่  ต้องทำความเพียรแล้วทำความเพียรอีก  เพื่อหวังว่าสักวันหนึ่ง  สิ่งที่ทำลงไปจะถึงพร้อมด้วยความพอดี  ที่จะทำจิตให้บริสุทธิ์จากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย  จะถึงเมื่อไหร่นั้นไม่สำคัญ  สำคัญที่ว่า  จงมีสติอยู่กับปัจจุบัน  นั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑๔  ก.ย. ๕๒

วันนี้เมื่อว่างได้ปฏิบัติธรรมตลอดเวลา  ขณะเดินไปมามีความรู้สึกอิ่มและปิติในใจเป็นอย่างยิ่ง  กิเลสส่วนใดที่มีก็รู้อยู่  คิดพิจารณาดูว่าเราติดสุขอยู่หรือหนอ  ถึงได้มีความสุขเช่นนี้  ดูแล้วก็มิได้ยินดีในความสุข  ยิ่งปล่อยวางจิตใจก็ยิ่งมีความสุข “ สัพเพ  ธัมมานาลัง  อภินิเวสายะ  ธรรมอันบุคคลไม่ควรยึดมั่นถือมั่น  ”  ธรรมอันนี้นี่เองที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้  ว่าเป็นสุดยอดของธรรมทั้งปวง  ผู้ปฏิบัติและเข้าถึงความจริงอันนี้  จึงสามารถเข้าใจได้อย่างแจ่มชัดด้วยตัวของผู้นั้นเอง  เมื่อเราทำจริงปฏิบัติจริง   ความอาจหาญก็จะบังเกิดขึ้นแก่เรา  เพราะธรรมที่ประพฤติดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑๗  ก.ย. ๕๒

วันนี้คณะนายแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสารภี  นำโดยนายแพทย์จรัส  สิงแก้ว  ผู้อำนวยการโรงพยาบาล และคณะ  จำนวน ๑๒ คน ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัด เป็นเวลา ๓ วัน ๒ คืน  เป็นคณะที่ ๔ และเป็นคณะสุดท้าย  ที่ทางโรงพยาบาลได้จัดให้เจ้าหน้าที่เข้ารับการปฏิบัติธรรม  เพื่อสุขภาพชีวิตที่ดี  ถ้ามีผู้นำที่สนใจในเรื่องนี้มากๆ  สังคมบ้านเมืองของเราคงจะสงบกว่านี้อีกมาก  สาธุ  ขออนุโมทนาความดีที่ร่วมกันกระทำนี้ทุกๆคน

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑๘  ก.ย. ๕๒

คืนวันที่ ๑๙ ก.ย. ได้สนทนาธรรมกับคณะผู้ไปปฏิบัติธรรมที่วัด  โยมคุณหมอจรัส  สิงแก้ว  ได้เล่าให้ฟังว่า  ท่านได้ปฏิบัติธรรม  โดยเพ่งอสุภะกรรมฐาน  มองดูร่างกายว่าเป็นของไม่สวยงาม  พิจารณากระดูกภายในร่างกาย  เห็นความไม่เที่ยงของร่างกาย  สุดท้ายมีแสงสว่างเกิดขึ้นมาภายใน ความรู้สึกว่าร่างกายได้หายไป  เหลือแต่ความสว่างของจิต   จิตเบาสบายดี  นี่แหละที่เป็นผลของการปฏิบัติธรรม  ย่อมมีอะไรเกิดขึ้นภายในจิตอย่างมากมาย  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วให้พิจารณาแล้วก็ปล่อยวาง  เพราะธรรมชาติของจิตมักมีอาการต่างอย่างนี้เสมอ  ถ้าคนไม่รู้แล้วคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้  ย่อมทำให้ไม่เจริญก้าวหน้า  ในธรรมที่กำลังปฏิบัติ  ดังนั้นการรักษาจิตแล้วปล่อยวาง  จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  ของผู้ปรารถนาความพ้นทุกข์ทุกๆคน

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๒๐  ก.ย. ๕๒

คนส่วนมากชอบคร่ำครวญถึงอดีตที่ผ่านมาแล้ว   และพะวงถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง  ชอบวาดฝันและคิดไปต่างๆนาๆ  ชอบคิดเพื่อที่จะทำร้ายตนเอง  มักหาเหตุแก้ตัวในการทำความดีเรื่อยไป  แล้วจะหาความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร   ผู้รู้ย่อมปล่อยวาง  ช่วยเท่าที่จะกระทำได้  และปล่อยให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมของแต่ละบุคคลที่ได้กระทำไว้  ส่วนผู้ไม่ประมาทย่อมเร่งสร้างความดี  ทำจิตใจให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง  เพื่อละกิเลส  ตัณหา  อุปาทาน  ที่มีอยู่ให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๒๑  ก.ย. ๕๒

โยมแตได้มาปรึกษาว่าจะพิมพ์หนังสือวิธีสร้างบุญบารมี  พระนิพนของสมเด็จพระญาณสังวรพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน  ได้จัดพิมพ์ไปหลายครั้งแล้ว  แต่ก็ยังมีความปรารถนาจะจัดพิมพ์เพื่อแจกเป็นธรรมทานอีก  เพราะเห็นว่าเป็นหนังสือที่ดี  มีประโยชน์  จึงได้บอกบุญญาติโยมร่วมกันสร้างให้ครบจำนวน หนึ่งหมื่นเล่ม  ญาติโยมเมื่อทราบก็ร่วมกันทำบุญกันเป็นอย่างดี  ดังนั้นการทำความบุญกุศล  ผู้มีปัญญาย่อมไม่รู้สึกอิ่มในบุญที่ตนเองได้กระทำ  เพราะบุญย่อมนำความสุขมาให้ทั้งในปัจจุบัน  และภายภาคหน้าสืบไป

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๒๒  ก.ย. ๕๒

โดยปกติจิตของคนที่มีกิเลส  มักชอบติเตียนบุคคลอื่น  มองแต่ความไม่ดีของบุคคลอื่นว่า  ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้  แต่ผู้รู้ทั้งหลายมักตำหนิติเตียนตนเอง  คอยแก้ไขตนเอง  ไม่เพ่งโทษบุคคลอื่น  เพราะผู้ปฏิบัติเมื่อถึงความสงบในใจของตนเองแล้ว  ย่อมทราบดีว่า  การเพ่งโทษคนอื่นเพราะอาศัยโทสะเป็นพื้นฐาน  เป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์  ผู้มีปกติพิจารณากายใจของตนเอง   หาข้อบกพร่องของตนเอง  ย่อมได้รับผลคือความสงบสุข  ในใจของตนเองอย่างแน่นอน

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๒๕  ก.ย. ๕๒

วันนี้ได้มีโอกาสเข้าห้องอบสมุนไพร  ซึ่งพระที่วัดจะเข้าอบสมุนไพรก่อนวันพระ ๑ วัน  มีการใช้ฟืนเพื่อหุงต้มให้เกิดความร้อน  เมื่อก่อนพระท่านใช้ฟืนมาก(กว่าวันนี้ประมาณ ๒ เท่า)    ปรากฏว่าไอน้ำที่ออกมาไม่คอยร้อนเท่าที่ควร  เป็นเช่นนี้อยู่หลายหลัง  จนกระทั้งครั้งที่แล้วพระอาจารย์บุญถม   อดีตตอนเป็นคฤหัสถ์ท่านเคยต้มเกลือสินเทาทางภาคอีสาน   ท่านแนะนำให้ใส่ฟืนพอดี อย่าใส่มากเกินไป   เพราะการใส่ฟืนมากเกินไปจะทำให้ความร้อนออกมาข้างนอก    แทนที่จะไปร้อนที่ก้นหมอ  ปรากฏว่าคำแนะนำของท่านได้ผล  ไฟร้อนได้ที่ดี  ไอน้ำก็ออกมาได้มาก  การอบตัวก็ได้ผลดีใช้เวลาไม่มาก
            เช่นเดียวกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้ปฏิบัติทางสายกลาง  ไม่ตึงและหย่อนจนเกินไป  การปฏิบัติจึงจะสำเร็จผลตามที่ตนเองพึงปรารถนา 
ต้องทำและปฏิบัติจึงจะพบทางสายกลาง  จะพบโดยปราศจากการปรารภความเพียรนั้นไม่มีเลย

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๒๖  ก.ย. ๕๒

ที่ว่าการปฏิบัติทำความเพียรนั้น  เป็นการทำความเพียรทั้งทางกายและทางจิต  โดยการนั่งสมาธิ  เดินจงกรม พิจารณาธรรมในหัวข้อต่าง ๆ    เป็นความเพียรที่มีผลดีทั้งต่อร่างกายและจิตใจ  สุขภาพก็ดี  การปฏิบัติไม่ต้องไปแบกหามอะไร  แต่กิเลสของมนุษย์มันเร่าร้อน  มักสอดส่ายไปในอารมณ์ต่าง ๆ  ยอมเหนื่อยยากทางกาย  เพื่อให้ได้วัตถุสิ่งของมาสนองความต้องการของตน  แล้วก็หลงวนเวียนอยู่ในวัฏฏะสงสาร  ตายแล้วเกิด  เกิดแล้วตาย  เช่นนี้ร่ำไป

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๒๗  ก.ย. ๕๒

มักมีครูบาอาจารย์นำการปฏิบัติธรรมมาเผยแพร่ในรูปแบบต่าง ๆ  ซึ่งท่านเหล่านั้นก็ยืนยันว่า  สิ่งที่ท่านแนะนำเป็นทางตรง และทางลัด  ในการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงสัจจะธรรม  มีมรรคผลนิพพานเป็นที่สุด  แต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า  สิ่งเหล่านี้เป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดหรือไม่  แต่สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้  มีอยู่ที่เป็นแบบแผนในตำราที่เป็นของเก่านั้น  เป็นสิ่งที่ดีที่สุด  และไม่ต้องมาคิดลังเลสงสัยว่าถูกต้องหรือไม่  เพียงแต่ให้เราลงมือปฏิบัติให้จริงจังเท่านั้นเอง

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๒๘  ก.ย. ๕๒

..โยมหล้าเป็นทั้งมักคทายก  คนขับรถ  และงานอื่น ๆ ภายในวัดพระพุทธบาทตะเมาะ  วันหนึ่งได้ไปที่กรุงเทพฯ  เข้าไปหาซื้อของในเมือง  ได้นำรถไปจอดไว้แล้วไปทำธุระ  เมื่อกลับมาโยมหล้ามองที่ท้ายรถเห็นรอยขูดขีดเต็มไปหมด   ตนเองคิดว่า  น่าจะมีมือดีมาขูดขีดทำให้เกิดความเสียหายเสียแล้ว  โยมหล้าเป็นทุกข์อยู่หลายวัน  ส่วนอาตมานั้นคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา  เพราะครูบาอาจารย์ได้สั่งสอนไว้ว่า  เมื่อเห็นอะไรใหม่  ให้เรามองจนถึงที่สุดว่า  ในไม่ช้ามันก็ต้องเก่าและเสื่อมสลายไปในที่สุด ”   เมื่อกลับถึงวัดโยมหล้าได้ทำความสะอาดที่ท้ายรถ  ประกฎว่ารอยขูดขีดนั้นหายไป  เนื่องจากรอยที่เกิดขึ้นนั้น  เป็นรอยของขี้ดินที่กระเด็นขึ้นมาจากพื้นดิน  เมื่อขณะขับขี่รถยนต์ด้วยความเร็ว  ดังนั้นเราควรทำใจอยู่เสมอว่า  ทุกสิ่งทุดอย่างในโลกนี้มีความเกิดขึ้นแล้ว  ย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นของธรรมดา  จิตใจของเราจะได้เบาสบาย  เพราะผลอันเกิดจากการปล่อยวางนั้น

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๒๙  ก.ย. ๕๒

..ได้มีโอกาสอ่านพระบรมราโชวาทและพระดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก  พระองค์ท่านเป็นพระราชาผู้ทรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรม  อันยากที่จะหาบุคคลใดในโลก ที่จะเสมอเหมือนพระองค์  บุญบารมีของพระองค์มีมากทำประเทศชาติของเราร่มเย็นเป็นสุข  ตราบจนทุกข์วันนี้

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๓๐  ก.ย. ๕๒

...ทศพิธราชธรรม  ธรรม ๑๐  ประการของพระราชา ซึ่งเป็นจริยวัตรที่พระราชาพึงประพฤติ  คือ  ๑.  ทาน  ให้เพื่อบำรุงสุข   ๒.  ศีล  ประพฤติเป็นสุจริต  ๓.  บริจาค  สละเพื่อประโยชน์ยิ่ง  ๔. อาชชวะ  ตรง  คือ  ยุติธรรม  ๕. มัททวะ คือ สุภาพอ่อนโยน  ๖. ตบะ เพียรกล้า  ๗. อักโกธะ  ไม่ดุร้ายกาจ  ๘. อวิหิงสา  ไม่เบียดเบียน  ๙. ขันติ  อดทน  ๑๐. อวิโรธนะ  ไม่ทำผิด (ทั้งรู้)  ธรรมเหล่านี้สามารถนำไปปฏิบัติได้สำหรับทุกคน  เพื่อความเจริญก้าวหน้าของตนเอง... 

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑  ต.ค. ๕๒

....ครูบาอาจารย์ผู้รู้ทั้งหลายได้กล่าวว่า  การเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆนั้น  ไม่สามารถเดินทางทับเป็นรอยเดียวกันได้ทั้งหมด  ฉันใด  การปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์นั้น   มิใช่ว่าจะต้องมีการปฏิบัติเป็นในแนวทางเดียวกันตลอด  ฉันนั้น   เพราะจริตนิสัยแต่ละคนไม่เหมือนกัน  ย่อมมีการปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไป  ตามแต่จริตนิสัยของบุคคลนั้น ๆ  ผู้มีปัญญาย่อมเข้าใจในสิ่งเหล่านี้  แต่ถ้าต้องการให้บุคคลอื่นมาประพฤติปฏิบัติเหมือนตนเอง    ย่อมทำความเดือดร้อนให้ตนเอง   เพราะการทำเช่นนี้  ย่อมสร้างความไม่สมหวังให้กับตนเองอย่างแน่นอน...

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๓  ต.ค. ๕๒

ครูบาอาจารย์ท่านได้กล่าวไว้ว่า  “ ใครจะด่าใครจะว่าเรา  เราอย่าไปสนใจคำด่าว่าร้ายของเขาเลย   ของที่ไม่ดีมีอยู่ในตัวเรามากมาย  น่ารักเกียจไม่แพ้ของภายนอกเหมือนกัน   คนเราผูกพันรักใคร่ชื่นชมกันก็แต่ร่างกายภายนอก  เห็นว่าสวยเห็นว่างาม  แต่ที่จริงแล้วมันไม่มีอะไรที่น่ายินดี  เหมือนคนตกเบ็ดที่เอาเหยื่อล่อให้ปลามาหลงกินเบ็ด  เมื่อกินติดเข้าไปแล้วไม่สามารถจะออกได้  ความสวยงามเปรียบเหมือนเหยื่อที่ล่อให้คนหลงใหลเพลิดเพลิน  พอติดเข้าไปแล้วก็ยากที่จะหลุดพ้นออกมาได้  การจะเห็นโทษภัยได้นั้นต้องใช้การภาวนาเพ่งดูอยู่ภายในร่างกายของเรา  ได้รับรู้ถึงความสุขอันเกิดจากการปล่อยวาง  ซึ่งเป็นความสุขที่หาอะไรเปรียบมิได้อีกแล้ว  แต่กามราคะ เป็นความสุขชั่วคราว  ที่จะติดตามมาด้วยความทุกข์อย่างมหันต์ในภายหลัง

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๔  ต.ค. ๕๒

...อาตมาได้มีโอกาสพูดคุยกับครูท่านหนึ่ง ปัจจุบันมีสามีและลูกอีก ๑ คน  โยมคนนี้บอกว่า  ถ้าย้อนอดีตกลับไปได้  ก็คงจะไม่ขอแต่งงาน  เพราะเห็นความทุกข์อันเกิดจากการมีคู่ครอง  มิหนำซ้ำตนเองได้ป่วยเป็นโรคร้ายแรง  ไม่แน่ใจว่าจะมีอายุบยืนยาวนานได้สักเพียงไร  ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์  และความประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจก็เป็นทุกข์  พวกเราจงทำดีกันต่อไป  เพื่อหวังให้ถึงซึ่งความสุขที่แท้จริง  คือพระนิพพาน   อันเป็นบรมสุขอย่างยิ่ง...

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๕   ต.ค. ๕๒

 “...ได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าของร้านกระจก  อลูมิเนียมที่ตัวเมืองเชียงใหม่  เมื่อวานนี้ถึงเรื่องการดำรงชีวิตที่ต้องต่อสู้ทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด  โยมคนนี้เล่าให้ฟังว่า  เมื่อสมัยตอนเป็นเด็กไม่อยากจะเรียนหนังสือ  อยากและใฝ่ฝันที่จะมีงานทำ  พอโตขึ้นมามีงานทำ  ถ้าเป็นลูกจ้างทั่วไปคงอยากจะให้ถึงวันที่เงินเดือนออกเร็ว ๆ เพราะจะได้นำเงินที่ได้ไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของตน  ส่วนตนเองตนนั้น  มีลูกน้องที่ต้องรับผิดชอบอยู่ ๑๐ กว่าคน  จิตใจไม่อยากให้ถึงวันเงินเดือนออกเลย  เพราะรู้ว่าภาระที่จะต้องใช้จ่ายนั้นมีมาก  ดังนั้น  จะเห็นได้ว่าความคิดของคนเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน  ส่วนมากมีความคิดที่มักเข้าข้างตนเอง  แต่ธรรมชาติย่อมไม่ตอบสนอง   ความต้องการของมนุษย์ผู้มีกิเลสอย่างแน่นอน  แต่ผุ้ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์มักคิดเสมอว่า  “ ทำอย่างไรหนอ  ตนเองจึงสามารถที่จะมีสติอยู่กับปัจจุบัน และไม่หวังสิ่งใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อ ควาโลภ  ความโกรธ  ความหลง อยากได้ในสิ่งที่ไม่มีอะไร  แต่สิ่งที่ไม่อะไรนี่แหละเป็นสิ่งนำมาเพื่อความสุขอย่างยิ่ง ” ....”

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๖  ต.ค. ๕๒

“...เมื่อวันที่ ๕ ต.ค. ที่ผ่านมา  ในตอนเช้าได้ไปแวะที่ ร.พ.สารภี  อ.สารภี  จ.เชียงใหม่  นายแพทย์ จรัส และคณะเจ้าหน้าที่ได้มาร่วมกันทำบุญ  เห็นแล้วน่าอนุโมทนาที่มีผู้นำที่ดี  ทำให้สังคมมีความสุข  ถึงแม้โลกนี้จะวุ้นวายด้วยสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ  แต่พระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าย่อมแก้ปัญหาได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
            ในขณะที่กำลังสนทนาธรรมกันอยู่นั้น  มีเจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งอายุประมาณไม่ถึง ๓๐ ปี ได้มาทำบุญ และได้ระบายความทุกข์   อันเกิดจากความไม่สมหวังในชีวิตคู่ครอง  อาจจะต้องแยกทางกันเพราะแนวความคิดที่ไม่ตรงกัน  อาตมาได้ฟังโยมนายแพทย์จรัสและโยมเจี๊ยบ  พูดให้กำลังใจต่าง ๆนา ๆ  ฟังแล้วมีแต่ความคิดที่ดี  ความคิดที่สร้างสรรค์  ความคิดที่ไม่ก่อเวรภัยกับใคร โดยให้ยึดเรื่องของกรรมเป็นใหญ่   เน้นการแก้ปัญหาที่ตนเอง   ทำให้ผู้ที่ได้รับความทุกข์เกิดความสบายใจ  ดังนั้นการมีกัลยาณมิตรที่ดีจึงเป็นสิ่งที่สำคัยอย่างยิ่ง...”

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๗  ต.ค. ๕๒

“...โยมแตเป็นอาจารย์สอนระดับปริญญาโท  และกำลังเรียนต่อปริญญาเอก อยู่ที่ จ.ปทุมธานี  ได้เล่าให้ฟังว่า  แม่ของตนชอบทำบุญตามวัดต่าง ๆ ทางภาคใต้  ซึ่งเป็นบ้านเกิด  โยมก็คิดว่าอยากให้แม่ได้ทำสมาธิภาวนา  เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  ดังนี้แล้วตนเองจึงได้ทำสมาธิภาวนา  แล้วอุทิศให้แม่ได้เข้าวัดปฏิบัติธรรมบ้าง  ประมาณ ๑ เดือนหลังจากที่ได้แผ่เมตตาทุกวัน  แม่ของตนมีจิตอยากจะไปปฏิบัติธรรม  จึงได้ไปถือศีล ๘ ที่วัด  และทำสมาธิภาวนา  ในขณะที่ฏิบัติธรรมอยู่นั้น  ปรากฏว่ามีความรู้สึกว่าร่างกายได้หายไป  และเกิดผลคือ  เกิดความสุขที่ไม่เคยพบมาก่อนเลย  จึงได้สนใจใฝ่รู้และปฏิบัติธรรมมาโดยตลอด  จนถึงปัจจุบัน  เพราะเห็นอานิสงส์ของการปฏิบัติธรรม  อีกอย่างหนึ่งแม่ของโยมชอบจัดหาสิ่งของไปถวายตามวัดที่ตนศรัทธา  ปรากฏว่าหลังจากไปทำบุญกลับมาแต่ละครั้ง  จะมีคนมาซึ้อของที่ตนขายได้มากกว่าปกติ  มักเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง  จึงเกิดศรัทธาในผลบุญที่ตนได้กระทำ
            จะเห็นได้ว่า  การทำบุญนั้นย่อมส่งผลให้ผู้กระทำนั้นได้รับ  ไม่ช้าก็เร็ว  แต่บางคนมักบ่นว่า  ทำบุญแล้วไม่เห็นมีอะไรตอบแทนเลย  บุญทำไมจึงตอบสนองช้าเหลือเกิน  เหตุเป็นเช่นนี้เพราะพื้นฐานการทำบุญ  ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน  แต่บุญกุศลในด้านจิตใจย่อมได้รับในขณะที่ทำบุญนั้นเอง  ส่วนวัตถุนั้นจะติดตามมาในภายหลังอย่างแน่นอน...”

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๘  ต.ค. ๕๒

“...หลวงพ่อครูบาวงศ์  เป็นพระมหาเถระที่อาตมาเคารพเป็นอย่างยิ่ง  ครั้งแรกที่ได้พบกับท่านเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๒๒  มีความเคาพรักท่านเป็นอย่างมาก  เหมือนพ่อกับลูกที่จากกันไปนานแล้วได้มาพบกัน  เมื่ออุปสมบทจึงได้มาอยู่รับใช้ท่านที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม  เป็นเวลา ๒ พรรษา  ท่านเป็นพระที่มีสติปํญญาเฉลียวฉลาด  เวลาจะสั่งสอนอะไรท่านจะไม่พูดตรง ๆ แต่จะยกนิทานธรรมะต่าง ๆ มาเล่าให้ฟัง  เมื่อคิดตามจึงได้น้อมนำมาแก้ไขตนเอง 
               เรื่องหนึ่งที่ท่านสอน  เกี่ยวกับการถ่ายวิชาความรู้ของครูบาอาจารย์ในอดีต  ที่จะให้แก่ศิษย์ของตน  อันดับแรกต้องมีการทดสอบดูว่า  ศิษย์มีความศรัทธาในตนเองแค่ไหน  โดยนำศิษย์เข้าไปในป่าที่มีขวากหนาม  อาจารย์และศิษย์ต่างก็มีมีดคนละ ๑ ด้าม  อาจารย์จะนำศิษย์เข้าไปในที่นั้น  โดยที่อาจารย์จะไม่เอามีดถากถางทางที่รกนั้น  จะเดินแหวกทางเดินไปมา  เพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทาง  ถ้าศิษย์คนใดอวดดีคิดว่าอาจารย์ทำไมถึงไม่ใช้มีดถางทาง  ดังนี้แล้วตนเองจึงเอามีดถางทางที่เดินไปเพื่อความสะดวกสบาย  ดังนี้แล้วอาจารย์จะไม่ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ศิษย์นั้นเลย  เพราะเห็นว่าศิษย์นั้นไม่เคารพอาจารย์   เรียนไปอาจจะนำวิชาความรู้ไปใช้ในทางที่ผิด  ส่วนศิษย์คนใดสังเกตุดูอาจารย์ว่าทำเช่นไร  แล้วทำตามอาจารย์ทุกอย่าง  อาจารย์ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น  มีความเคารพในครูบาอาจารย์  เพราะคิดว่าอาจารย์ต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างหนึ่ง จึงได้ทำเช่นนี้ ศิษย์นั้นย่อมได้รับการถ่ายทอดความรู้จากครูบาอาจารย์  เพราะการเล่าเรียนวิชาความรู้  บางครั้งต้องเรียนแบบคนโง่  อาจารย์ว่าเช่นไรต้องทำอย่างนั้นไปก่อน  เพราะอาจารย์อาจจะแกล้งทำเพื่อลองใจศิษย์  ว่ามีความเคารพในอาจารย์แค่ไหน  เมื่อเรียนแล้ว  ถูกผิดประการใด  มาพิจารณาในภายหลัง
            การที่เราจะเรียนวิชาความรู้  มอบตัวเป็นศิษย์กับใคร  เราก็ตองพิจารณาแล้วว่า  อาจารย์ของเราเป็นคนดี  มีวิชาความรู้ที่จะถ่ายทอดให้เราได้  และสิ่งที่ท่านสอนนั้นไม่ผิดหลักศีลธรรม  มิใช่ว่าจะเชื่ออาจารย์ในเรื่องทุกสิ่งทุกอย่าง  ถ้าบุคคลใดสอนในสิ่งที่ไม่เป็นศีลเป็นธรรม  ก็ควรจะออกห่าง เพราะจะทำให้เราตกต่ำ  เมื่อคบกับบุคคลนั้น ๆ...”

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๙  ต.ค. ๕๒


            “....ปีนี้ตั้งใจว่าจะพาครุบาอาจารย์และญาติโยมไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย ในเดือน พฤศจิกายน ๒๕๕๒ โดยอยู่ภาวนาที่พุทธคยาเป็นส่วนใหญ่  คิดว่าคงมีคนไปไม่เกิน ๒๐ ท่าน  เพราะระยะเวลาที่ไป ๒๐ วัน  แต่ปรากฏว่ามีผู้เจตนาจะร่วมเดินทางประมาณ ๕๐ กว่าคน  ส่วนมากผู้ที่เคยไปแล้ว  ได้บอกต่อ ๆกันไป  อาตมามีความตั้งใจว่า  การจัดไปแสวงบุญในแต่ละครั้ง  จะไม่หวังผลกำไรแต่ประการใด  การไปแต่ละครั้งที่ไม่ขาดทุน  เพราะผู้มีจิตศรัทธาหลายท่าน  ร่วมทำบุญในการไปแสวงบุญแต่ละครั้ง  กลับจากการไปแสวงบุญแล้ว   ครุบาอาจารย์และญาติโยมต่างก็มีศรัทธาในศาสนามากยิ่งขึ้นเป็นส่วนมาก  เมื่อพิจารณาดูแล้ว  เป็นสิ่งที่มีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง...”

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑๐  ต.ค. ๕๒

            “...คนเรามักคิดว่า บุคคลที่อยู่กับเรา  ไม่จำเป็นต้องพูดดีด้วยก็ได้  ควรพูดดีกับคนที่ไม่ค่อยคุ้นเคยจะดีกว่า  การที่มีความคิดเช่นนี้  ย่อมนำความเดือดร้อนมาให้ในสังคมนั้น ๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด   แท้ที่จริงแล้ว  เราต้องทำดีพูดดีกับคนที่ใกล้ตัวเราให้มากที่สุด  เพระถ้าทำได้ย่อมนำความสุขมาสู่สังคนนั้น ๆ  ไม่เป็นการทำร้ายน้ำใจซึ่งกันและกัน...”

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑๑  ต.ค. ๕๒

            “...การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์  ควรมีความหวังว่าเราจะหาหนทางอันประเสริฐ  แล้วเดินตามทางอันประเสริฐนั้น  มิใช่ว่าคอยแต่โชคลาภวาสนาเพียงอย่างเดียว  การทำความดีนั้น   มิใช่ว่าจะปรากฏผลในระยะเวลาอันสั้น  ต้องมีความเพียรทำแล้วทำอีกอย่างไม่ลดละ ส่วนผลที่ได้รับ  ย่อมนำความภาคภูมิใจมาให้ตนในภายหลังอย่างแน่นอน...”

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑๒  ต.ค. ๕๒

            “...ไมค์กับวาสนาสองสามีภรรยา  ได้มาช่วยทางวัดออกแบบลวดลายต่าง ๆ  ในการแกะสลักพระเจดีย์หินทราย  ทั้งสองมีอุดมคติที่ดี  ไม่เห็นว่าเงินเป็นใหญ่   ความสุขนั้นอยู่ที่ใจของเรา  วาสนาชอบวาดภาพและส่งประกวดในวาระต่าง ๆ   และได้รับรางวัลระดับประเทศอยู่เสมอ ๆ  สองเดือนที่แล้วได้รับการคัดเลือกไห้ได้รับรางวัลทีหนึ่ง  นี่แหละการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน  ย่อมได้รับผลอย่างไม่คาดคิดเสมอ 
               การที่จะทำอะไรให้ดีกว่าบุคคลอื่นนั้น ที่จริงแล้วไม่ต้องทำอะไรมาก  เพียงแต่จิตของบุคคลนั้น ๆ  ต้องเข้าถึงความเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด  คนเราจะทำอะไรก็ต้องลอกเรียนแบบธรรมชาติ  เพราะธรรมชาตินั้นมีแต่ความเสียสละ  มีแต่ให้  และผู้ให้ย่อมได้รับผลที่ดี  อันเนื่องมาจากการเสีบสละในสิ่งที่ตนได้ให้นั้น...”

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑๓  ต.ค. ๕๒

            “...คนเรามักมีความทุกข์อยู่กับกาลเวลา  เช้านี้ต้องทำเรื่องนี้   เย็นนี้ต้องทำเรื่องนั้น  จิตสารพัดที่จะวุ่นวายไปในสิ่งต่าง ๆ   ถ้าเราเป็นผู้รู้คอยดูสิ่งที่เราทำด้วยความมีสติ  ความทุกข์จะเบาบางลงไปตามลำดับ  เพราะสิ่งที่เราดู  รู้  และทำลงไป  มันเป็นสิ่งสมมุติของกาลเวลา  ที่จริงแล้ว  ตัวเวลามันไม่รู้ตัวมันเองหรอก  แต่คนเราไปสมมุติมั่นหมายในตัวเวลานั้น  คนเราจึงเครียดและทุกข์กับกาลเวลาที่เราสำคัญมั่นหมายนั้นแหละ  จะทำลายสมมุติได้ต้องอาศัยการปฏิบัติ    ตามพระสัทธรรมของพระพุทธองค์แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น...”

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑๔  ต.ค. ๕๒

            “.....พระอาจารย์ถนอม  เป็นพระมหายาน  เป็นคนไทยที่ไปบวชเป็นพระที่ประเทศไต้หวัน  ได้มาพักที่วัด ๔ วัน  ท่านได้สอนญาติโยมเกี่ยวกับการรักษาตนเอง  โดยอาศัยการจัดกระดูก  ผู้ที่มีสุขภาพไม่ดี  มีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย  โดยปกติที่ไปรักษากับหมอนวดทั่ว ๆ ต้องใช้เวลานวด เป็นชั่วโมงอาการจึงจะดีขึ้น  แต่การรักษาโดยอาศัยการจัดกระดูก  ใช้เวลาไม่กี่นาที่ สามารถทำให้ร่างกายดีขึ้นทันตาเห็น  อาตมาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก  และได้รับการแนะนำจากท่านในการรักษาคน  ได้ลองทำกับคนที่ปัญหาเรื่องสุขภาพ  ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน  เป็นวิธีที่เรียนได้เร็วและง่าย  จึงเป็นวิชาที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
            คนเรานั้นพระพุทธองค์ทรงตรัวไว้แล้วว่า  การมีสังขารร่างกายนั้นเป็นทุกข์  เมื่อมีอายุมากขึ้นจึงรู้ว่า  เป็นดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้จริง ๆ  เกิด  แก่  เจ็บ และตาย เป็นความทุกข์  จิตใจเป็นตัวรู้ในทุกข์เหล่านี้  จึงควรที่พวกเราเป็นผู้ไม่ประมาท  ควรสร้างและทำความดี  เพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์  นั่นคือพระนิพพาน  อันเป็นบรมสุขอย่างยิ่ง....”

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑๘  ต.ค. ๕๒

 

 

            โยมต๊อกและเพื่อนได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัด  อาตมาได้สอนแนวปฏิบัติในแนวทางมหาสิตปัฏฐานสูตร  กำหนดลมหายใจเข้าออก  กำหนดอารมณ์สบาย  เมื่อใจสบายแล้วให้ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจากใจของตนเอง  โยมได้เล่าให้ฟังว่าในตอนแรกที่ฟังยังนึกค้านในใจว่าจะปล่อยวางได้อย่างไร  ยังมีเรื่องที่ต้องทำอยู่หลายอย่าง  ในชีวิตของผู้ครองเรือน  แต่เมื่อปฏิบัติไปเรื่อย  ๆ หัดปล่อยวางเมื่อจิตสงบ  ทำให้อารมณ์เบาสบายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน  ทั้งที่ตนเองเป็นคนอารมณ์ร้อน ไม่คิดว่าอารมณ์จะสงบร่มเย็นถึงเพียงนี้
            การปฏิบัติธรรมนั้นดังที่ครูบาอาจารย์ท่านได้บอกไว้แล้วว่า  ถ้าปฏิบัติถูกต้อง  ทำเพียงวันเดียวก็สามารถจะสำเร็จประโยชน์ได้เช่นกัน  ดังนั้นจึงอย่าประมาทต่อความเพียร  แต่ตรงกันข้าม  ถีงจะอยู่ในวัดเป็นเวลานาน ๆ แต่ไม่ตั้งใจปฏิบัติ  ความสำเร็จก็จะไม่สามารถจะบังเกิดแก่เขาเหล่านั้นได้เลย

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๒๔  ต.ค. ๕๒

            ได้มีโอกาสได้สนทนาการปฏิบัติธรรมกับพระทาคาสิ  มหาปุญฺโญ  ทางบอกว่า  แนวทางที่อาตมาแนะนำค่อนข้างจะเข้าใจยาก  เพราะถ้าสำนักปฏิบัติธรรมที่สอนในแนวไหนก็จะเน้นในแนวนั้น  แต่ที่อาตมาแนะนำนั้นจะปฏิบัติแนวทางไหนก็ได้ทั้งนั้น  แต่สุดท้ายให้เน้นเรื่องการปล่อยวางอารมณ์เป็นสำตัญ  ปล่อยได้  วางได้  จิตใจเราก็จะเย็นสบาย  เรื่องเหล่านี้จะเข้าใจได้  ก็ด้วยอาศัยการลงมือปฏิบัติแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น  จะเข้าใจโดยการคาดคะเนเอานั้นย่อมเป็นไปไม่ได้เลย

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๒๕  ต.ค. ๕๒

            เมื่อวานนี้มีพระอาจารย์บรรลา  อตฺตสนฺโต  ท่านได้อุปสมบทที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะแห่งนี้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ได้พาญาติโยมมาเยี่ยมที่วัด  ท่านได้เล่าประสบการณ์ในเรื่องของพลังจิตให้ญาติโยมฟัง  ในสมัยที่ท่านบวชเป็นพระได้ ๓ พรรษา   ท่านและพระสมเจตได้พูดคุยกันเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าและพระสาวก  พระสมเจตได้พูดว่า พระพุทธเจ้าพระองค์ไม่ทรงมีฤทธิ์ดั่งที่เขาเขียนไว้ในตำราให้เราได้ศึกษา  เป็นแต่เพียงเขาเขียนแต่งกันขึ้นมา  พระสาวกก็เช่นเดียวกัน  แต่พระบรรลานั้นมีความเชื่อในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก  ท่านทั้งสองพูดคุยกันอยู่เป็นเวลานาน  ก็ยังมีความเห็นที่ไม่เหมือนกัน  พูดคุยกันอยู่เป็นเวลานาน  พระบรรลามีความไม่พอใจขึ้นมาในจิต  และคิดว่าถ้าตนเองมีฤทธิ์จะแสดงให้ดู  เมื่อถึงเวลาดึกจึงได้แยกยายกันจำวัดหลับนอน
            ในยามดึกนั้นเอง พระบรรลาได้จำวัดอยู่กับพระสมเจต ในศาลาที่ใช้ปฏิบัติธรรมอยู่ในปัจจุบัน  จิตของท่านนั้นลิ่งดิ่งลงลึก  มีความรุ้สึกว่าจิตได้พุ่งออกจากตนเอง  เป็นเหมือนจรวดไปปะทะวัตถุสีขาวตรงด้านหน้า  แล้วก็ใช้จิตนั่นแหละทิ่มแทงวัตถุสีขาวนั้นอยู่เป็นเวลานานพอสมควร  ปรากฏว่าในขณะนั้นนั่นเองพระสมเจตที่นอนอยู่ด้านข้าง  มีความรู้สึกเหมือนมีใครมาบีบที่หัวใจ  จิตของตนกระเด็นหลุดออกจากร่างกาย  มีความรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก  มีความทุกทรมานเป็นอย่างมาก  เกือบสิ้นลมหายใจ  พยายามร้องออกมาแต่ก็ร้องไม่ออก  พระบรรลาเมื่อคลายจากสมาธิรู้สึกตัวตื่นขึ้น  พระสมเจตร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด  กล่าวหาพระบรรลาต่าง ๆนา ๆ เพราะตนเองเกือบขาดใจตาย  ณ ที่ตรงนั้น           
            จะเห็นได้ว่าสภาวะจิตเป็นสิ่งที่ลี้ลับ  มีอำนาจมาก  สามารถกระทำได้ทั้งในสิ่งที่ดีและชั่ว  ผู้ปรารถนาความดีสมควรที่จะกระความดีไว้มาก ๆ  เพื่อน้อมนำเอาความดี  ที่ตนเองสร้าง ให้ได้มรรคผลนิพพาน   ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้   เพื่อผลคือความสุขที่แท้จริงในใจของเราเอง

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๒๖  ต.ค. ๕๒

            โยมอาจารย์ นลินี  ซื่งรู้จักกับอาตมาประมาณเกือบ ๓๐ ปี  ได้พาลูกศิษย์ไปเยี่ยมที่วัดเมื่อวันที่ ๒๙ ต.ค. ๕๒ ที่ผ่านมา  โยมเป็นผู้ที่ชอบปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง  และเมื่อปลายปีที่แล้ว  ได้มีโอกาสพบกับโยมที่พุทธคยา  ประเทศอินเดีย  ได้พูดคุยในเรื่องของธรรมะต่าง ๆ นานา คำพูดหนึ่งที่อาตมาได้พูดไว้ในครั้งนั้น  โยมอาจารย์ได้พูดทวนคำพูดที่อาตมาได้พูดไว้ว่า  การปฏิบัติธรรมนั้น  ให้ปฏิบัติโดยการจับอารมณ์สบาย  ถ้าใจเราสบายแสดงว่าเราวางอารมณ์ได้ถูก  ถ้าใจไม่สบายแสดงว่ายังวางอารมณ์ไม่ถูก  ให้เราดูจิตของเราไปเรื่อยๆ ปล่อยวางไปเรื่อย ๆ จนถึงความสบายแห่งจิต  แต่ก็อย่าหลงติดความสบายนั้น ความสบายที่แท้จริงนั้น   ต้องเป็นความสบายอันเกิดจากการปล่อยวาง ไม่ติดสุขแต่ก็ได้รับความสุข  เพราะธรรมชาติแห่งการปล่อยวางเป็นเช่นนั้น  โยมอาจารย์ได้นำไปปฏิบัติ  จนได้รับผลคือความสุขความสงบในตนเอง  จึงได้ปฏิบัติเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
               จะเห็นว่าอารมณ์สบายนั้น  เป็นจุดประสงค์ในการปฏิบัติธรรม  ในเบื้องต้น  ท่ามกลาง  และในที่สุด  อันเป็นสุดยอดแห่งความปรารถนาของมนุษยโลกทุก ๆคน

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๓๑  ต.ค. ๕๒

            ในช่วงนี้เป็นเวลาเตรียมตัวที่จะเดินทางไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย  ซึ่งอาตมาเป็นผู้นำ  มีพระภิกษุ  ๓๐  รูป  อุบาสก ๖ คน อุบาสิกา ๑๐ คน  รวมแล้วจำนวน ๕๖ รูป/คน  ได้มีการจัดเตรียมทำเอกสารต่าง ๆ ต้องนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน  รู้สึกปวดต้นคอตลอดเวลา  แม้จะออกำลังกาย  ใช้ท่าบริหารต่าง ๆ ก็ทุเลาได้ระยะหนึ่ง  ยังไม่ทันข้ามวันก็กลับปวดขึ้นมาอีก  เมื่อวันที่ ๒๙ ต.ค. ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปแนะนำการปฏิบัติธรรมแก่กลุ่มผู้ติดเชื้อ เอช ไอ วี  ที่โรงพยาบาลจอมทอง  โยมรัชนี  ได้ติดตามจากที่วัดไปโรงพยาบาลเพื่อช่วยแนะนำท่าออกกำลังกาย  และการจัดกระดูกเพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกาย  ในจำนวนท่าออกกำลังกายทั้งหมด  มีอยู่ท่านหนึ่งได้แก่ ท่าแหงนหน้าดูเพดาน  พร้อมกับใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้าง  ดันใต้คางขึ้นไปด้านหลังให้มากที่สุด  มีอาการเจ็บเล็กน้อยขณะที่ดันคางไปด้านหลัง  ปรากฏว่าอาการปวดต้นคอที่เป็นอยู่ตลอดเวลาได้หายไป  รู้สึกว่าร่างกายเบาสบายตัวขึ้นเป็นอย่างมาก  ไม่น่าเชื่อเลยว่าท่าง่าย ๆเช่นนี้  จะทำให้อาการปวดหายไปได้
            จะเห็นได้ว่า  การทำอะไรก็ตามที  ถ้าทำไม่ถูกจังหวะ  ถูกเวลา  ความสำเร็จย่อมบังเกิดได้ไม่สมบูรณ์  หรือยังไม่ถึงเวลาก็ไม่สามารถทำงานนั้น ๆให้สำเร็จได้  การปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน  แนวทางการปฏิบัติถ้าทำไม่ถูก  ความสำเร็จจะไม่สามารถบังเกิดขึ้นได้เลย  แต่ถ้าทำถูกต้องหรือเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม  ความสำเร็จย่อมบังเกิดขึ้นได้โดยไม่ยากนัก  แต่สำคัญตรงที่ว่า  ต้องมีความเพียรในการทำความดีอย่างไม่ลดละ  เพื่อผลคือความสุขที่แท้จริงในใจของเรา

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑  พ.ย. ๕๒

            ในระยะนี้ได้มีการจัดเตรียมเอกสารสำหรับการเดินทางไปอินเดีย  ต้องมีการติดต่อประสานงานกับทางบริษัทที่บริการเรื่องตั๋วเครื่องบิน  เอกสารต่าง ๆของผู้เดินทางและเรื่องอื่น ๆอีกมากมาย  การปฏิบัติธรรมที่ประกอบด้วยงานภายนอก คงจะไม่เหมือนกับการปฏิบัติธรรมที่ไม่มีงานภายนอกมาเกี่ยวข้อง  เพราะอารมณ์ความเย็นสบายจะไม่เหมือนกัน  คราวใดที่จิตของเราไปเกี่ยวข้องกับสิ่งสมมุติโลก  ความเบาสบายใจย่อมบังเกิดขึ้นได้ยาก  เหมือนท้องฟ้าที่มีเมฆหมอกมาบดบัง  ท้องฟ้าย่อมไม่ใสสว่าง  เช่นเดียวกับจิตของคนที่มีความเกี่ยวข้องมาผูกพัน  ย่อมทำให้จิตมีกำลังที่ลดน้อยถอยลง  ปัญญาย่อมเกิดบังเกิดขึ้นได้ยาก  ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงให้ปล่อยวางภารกิจภายนอกทั้งหลายออกไป  เพื่อกระทำจิตของตนให้ใสสะอาด  จากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย  ทำให้จิดมีกำลังที่จะละ ปล่อย  วาง  กิเลสตัณหาอุปาทานในจิตใจ  เพื่อที่จะได้รับความสุขความสบายอันเกิดจากการปล่อยวางนั้น

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๓ พ.ย. ๕๒

            ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในการงานแต่ละอย่างได้นั้น  ต้องเป้นผู้มีความเพียรอย่างไม่ลดละ  ปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายย่อมมีเป็นของธรรมดา  อุปสรรคทั้งหลายเหล่านั้น  ย่อมเป็นเครื่องบ่งบอกถึงความอดทน กล้าหาญของผู้นั้น  ว่าจะผ่านพ้นไปได้สักเพียงไร  การทำอะไรแต่ละอย่าง  ต้องหมั่นเฝ้าคิด เฝ้าดู และกระทำด้วยการปล่อยวาง  กระทำให้ปราศจากตัวตน  ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางโลกและทางธรรม  งานทั้งหลายเหล่านั้นย่อมสำเร็จไปได้ด้วยดี  งานจึงเป็นงานที่ดีและดีเลิศ  เพราะธรรามชาติแห่งการปล่อยวางนั้น  เป็นธรรมชาติที่ซึมซับ  ความรู้แห่งความสำเร็จแก่ผู้ที่เข้าถึงในธรรมชาตินั้น ๆได้อย่างแน่นอน

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๖ พ.ย. ๕๒

โยมคนหนึ่งได้พบอาตมาที่พุทธคยาประเทศอินเดีย  ได้เล่าให้ฟังว่าตนเองทำงานและมีครอบครัวอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์  เป็นเวลา ๒๐ กว่าปี            ตอนเป็นวัยรุ่นมีความรู้สึกว่าศาสนาเป็นเรื่องของคนแก่  จึงไม่มีความสนใจในเรื่องนี้  ได้ใช้ชีวิตตามที่ตนเองเห็นว่าดีมีประโยชน์  นึกจะทำอะไรก็ทำตามความคิดของตน  เมื่อเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งจึงได้นำไปลงทุนเล่นหุ้น  จนสุดท้ายเงินที่สะสมไว้แทบไม่มีเหลือ  เพราะอ่อนต่อประสบการณ์ในการลงทุน
            เมื่อเป็นเช่นนี้  โยมคนนี้จึงได้หวนคิดเรื่องราวต่าง ๆที่ผ่านมา  คิดทบทวนว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร  แก่นสารที่แท้จริงของชีวิตคืออะไร  เมื่อคิดทบทวนไปมาก็ยังหาคำตอบให้กับตนเองไม่ได้  สุดท้ายเมื่อขาดที่พึ่งจึงได้หันเข้ามาศึกษาเรื่องของพระพุทธศาสนา  ได้เข้าปฏิบัติธรรมที่สำนักแห่งหนึ่ง  ต่อมาจึงได้ศึกษาธรรมเรื่อยมา  ปัจจุบันตนเองเห็นว่าพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุดในชีวิต  การทำอะไรโดยที่ไม่ทำตามพระธรรม  ย่อมทำให้ผิดพลาดได้ง่าย  เพราะเราไม่ใช้สัพพัญญูเหมือนพระพุทธเจ้า  พระพุทธองค์ทรงวางรากฐานที่ดีไว้ครบถ้วนแล้ว  เพียงแต่เราจะกระทำตามที่พระองค์ทรงสั่งสอนหรือไม่เท่านั้นเอง

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๓๐  พ.ย.  ๕๒

            เมื่อวันที่ ๗-๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ได้พาคณะพระภิกษุและญาติโยม ประกอบด้วย พระสงฆ์ ๓๐ รูป  แม่ชี ๑ ท่าน อุบาสก ๗ คน อุบาสิกา ๑๘ คน  รวม ๕๖ รูป/คน ทุกคนต่างก็มีความสุขในการที่ได้ไปนมัสการสังเวชนียสถาน  อันได้แก่สถานที่ประสูติ  ตรัสรู้  ปฐมเทศนา และปรินิพพาน ความต้องการสูงสุดของมนุษย์คือความสุข  พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้ปฏิบัติเพื่อพบความสุขที่แท้จริงคือพระนิพพาน  แต่การที่จะเข้าถึงได้นั้นต้องอาศัยความวิริยะอุตสาหะเป็นอย่างยิ่ง  จะย่อหย่อนต่อการประพฤติปฏิบัติ  เพื่อให้ได้ความสุขที่แท้จริงนั้นไม่มีเลย  แต่ถ้าปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและไม่ลดละในการพิจารณากายและจิต  ย่อมได้รับความสุขอันเกิดจากการหาที่พึ่งในตัวของเราเอง

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑  ธ.ค. ๕๒

วันหนึ่งได้แสดงธรรมที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์  หลังจากทำวัตรเย็นแล้ว  อุบาสิกาชาวทิเบต ๓ แม่ลูก  ได้นั่งฟังธรรมอยู่ในบริเวณนั้นด้วย  หลังจากเสร็จจากการแสดงธรรม หญิงชราผู้เป็นแม่ได้เข้ามาหาอาตมา  กล่าวขอบคุณที่ได้แสดงธรรมให้ฟัง  รู้สึกว่าโยมคนนี้มีความปิติและดีใจเป็นอย่างยิ่ง  อาตมาได้เห็นโยมทั้ง ๓ คน ไปปฏิบัติที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์อยู่เสมอ ๆ  เขามีความตั้งใจในการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง  แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าอาตมาเทศนาธรรมเป็นภาษาไทย  แล้วโยมพวกนี้เข้าใจภาษาไทยได้อย่างไร  ได้หวนคิดอยู่นานจึงทราบว่าเขาเหล่านี้คงใช้จิตฟังมากกว่าใช้คำพูด   จิตที่กล่าวออกมาด้วยความสงบ ย่อมสามารถสื่อถึงกันได้   เพราะจิตของมนุษย์ทั้งหลายนั้นเป็นเช่นเดียวกัน ถ้าจิตเข้าถึงจิตได้นั้น  ย่อมได้สัมผัสสิ่งที่เหนือสมมุติบัญญัติทั้งหลาย  ย่อมได้ที่พึ่งที่แท้จริงซึ่งเป็นที่พึ่งที่หาได้ยากยิ่งนัก

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๒  ธ.ค. ๕๒

 

 

            เมื่อวันที่ ๒๓ ธ.ค. ๕๒ ได้ไปกราบพระอาจารย์ประสิทธิ์ที่วัดป่าหมู่ใหม่ อ.แม่แตง 
จ.เชียงใหม่  พระอาจารย์สุขภาพไม่ค่อยดีเป็นโรคเก่า  ปวดเมื่อยตามร่างกาย  ได้กราบและสอบถามปัญหาซึ่งคาใจมานานเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมว่า  การปฏิบัติธรรมที่จะเข้าสู่มรรคผลนั้น  การเข้ากระแสนั้นต้องเข้าเป็นขั้นเช่น พระโสดาบัน  พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์นั้น  ต้องเข้าไปสู่วิปัสสนาญาณแต่ละขั้นหรือเข้าเพียงครั้งเดียว  พระอาจารย์เมตตาตอบอย่างไม่ลังเลสงสัยเลยว่า  การเข้ากระแสนั้นเข้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น  ต่อไปจิตก็จะเข้ากระแสเป็นลำดับ ๆ ไป  และวิปัสสนาญาณที่แท้จริงนั้นก็เกิดเพียงครั้งเดียว   ในปัจจุบันไม่ก่อนและไม่หลังอยู่ที่ปัจจุบันจิตนี้เท่านั้น
            ได้สอบถามอีกว่า  คุณไสยนั้นมีจริงไหม  ถ้ามีควรแก้ไขอย่างไรเมื่อถูกสิ่งเหล่านั้น  ท่านตอบว่ามีจริง   การแก้ไขนั้นต้องใช้การปฏิบัติธรรม  สามารถแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้  และอย่าไปรับอะไรมาเพิ่ม  เช่นตำกรุดป้องกันคุณไสยฯ เพราะถ้าไปรับมาแล้วจะทำให้จิตใจของเราต้องหาที่พึ่งภายนอก  จะไม่เป็นพุทธแท้  ทำให้การรักษาอาจไม่หายขาด  เป็น ๆ หาย ๆ เพราะจิตใจของเราลังเลสงสัยในพระรัตนไตรนั่นเอง

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๒๕  ธ.ค. ๕๒

            โยมหวังโมเป็น หญิงสาวชาวทิเบตได้สามีเป็นชาวอเมริกา  มีลูก ๒ คน โยมคนนี้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง โยมพร้อมสามีได้เป็นเจ้าภาพสวดสาธยายพระไตรปิฏกนานาชาติในเดือนธันวาคม เป็นจำนวน ๔ ครั้ง และในวันที่ ๒-๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๒นี้ จะรับเป็นเจ้าภาพอีกเป็นครั้งที่ ๕ ได้มีโอกาสพบกับอาตมาที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ในคืนวันหนึ่ง  ได้พูกคุยกันประมาณ ๒๐ นาที รู้สึกว่าโยมมีความสุขมากที่ได้ทำประโยชน์ที่ดีในครั้งนี้  น่าอนุโมทนากับความดีที่โยมได้สร้างเป็นอย่างยิ่ง  เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๑ อาตมาได้มีโอกาสแสดงธรรมโดยมีผู้แปลเป็นภาษาอังกฤษ  ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์แห่งนี้  โยมหวังโมได้นั่งฟังอยู่ด้วย  โยมบอกว่าจิตใจเกิดปิติในธรรมบรรยายเป็นอย่างยิ่ง  จะเห็นได้ว่าพระสัทธรรมของพระพุทธองค์นั้น  มีอำนาจยิ่งใหญ่ยิ่งนัก  จะหาสิ่งอื่นเสมอเหมือนย่อมไม่มีอย่างแน่นอน ฉะนั้นพวกเราทั้งหลายจงน้อมนำเอา  พระพุทธ  พระธรรม  และพระสงฆ์  เป็นที่พึ่งที่ระลึกในใจของเราตลอดไปเทอด

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๒๙  ธ.ค. ๕๒

พระพระภิกษุผู้บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา  ถ้าทำตัวดีก็นับว่าเป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่  แต่ถ้าทำไม่ดีไม่มีศีลธรรมประจำใจ  ก็ไม่ต่างอะไรกับลูกชาวบ้านเลว ๆของเรานี่เอง  การทำบุญกับคนเลวที่นุ่งห่มผ้าเหลือง  ให้คิดเสียว่าทำบุญกับพระพุทธศาสนาก็แล้วกัน  การที่มีคนไม่ดีมาบวชเพื่อใช้เลี้ยงชีพของตนนั้น  จึงเป็นสิ่งที่บงชัดว่าคำสั่งสอนพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ดี  ผู้มีปัญญาพิจารณาย่อมศรัทธาเลื่อมใส  เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสสั่งที่มีเหตุผลตามความเป็นจริง สามารถพิสูจน์ได้ทุกกาลเวลา  การแอบแฝงเข้ามาหากินในรูปแบบต่างจึงมีกันมากมาย  แม้ตั้งแต่ในสมัยพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบัน  ฉะนั้นผู้มีปัญญาควรใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงทำในสิ่งที่ตนเองศรัทธาเลื่อมใส  และอย่าหวั่นไหวในสิ่งที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑  ม.ค. ๕๓

            เด็กหญิงแอปออายุประมาณ ๘ ปี  พ่อแม่ซึ่งเป็นชนเผ่ากะเหรี่ยงได้เคยพามาปฏิบัติธรรมที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะ  ได้มาทำบุญที่วัดเมื่อวันที่ ๓ ม.ค.๕๓  โยมสมศรีผู้เป็นแม่ได้เล่าให้ฟังว่าลูกสาวของตนมีความปรารถนาอยากปฏิบัติธรรมให้เป็นพระโสดาบัน ซึ่งเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา  ชอบการสวดมนต์นั่งสมาธิเพราะเกิดความสุขความสงบในการทำความดี  ดังนั้นการนำเยาชนให้รู้จักทำความดีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ  เพื่อเป็นการปลูกฝังศีลธรรมจริยธรรมตั้งแต่เยาว์วัย เพื่อจะได้เป็นคนดีในอนาคตสืบไป

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๓  ม.ค. ๕๓

            โยมสมศรีแม่ของแอปอ โทรฯมาเล่าให้ฟังว่า เมื่อเช้ามืดของวันนี้ได้หลับฝันไปว่า  มีพวกกะเหรี่ยงมาอยู่ที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะกันอย่างมากมาย  ในความฝันมีความรู้สึกว่าชนเหล่านี้เป็นกะเหรี่ยงที่ตายไปแล้ว  รอรับส่วนบุญที่มีผู้ไปทำบุญที่วัด โยมคนนี้บอกว่ามีความมั่นใจในความฝันนี้มาก  และบอกว่าในอนาคตจะแนะนำพวกของตนไปทำบุญที่วัด  เพื่ออุทิศส่วนบุญให้กับชนเหล่านี้ให้ได้ไปสู่สุคติภูมิที่ดียิ่ง ๆขึ้นไป
            จะเห็นว่าภพภูมิที่ชนธรรมดาไม่สามารถจะเห็นได้ยังมีอยู่ แม้ในสมัยพุทธกาลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระองค์ได้ทรงตรัสเรื่องนี้ไว้แล้วเหมือนกัน  ดังนั้นการทำบุญเพื่ออุทิศไปยังญาติของเราที่ล่วงลับไปแล้ว  จึงเป็นสิ่งที่ควรที่จะกระทำเป็นอย่างยิ่ง  เพื่อประโยชน์สุขของตนเองและญาติผู้ล่วงลับไปแล้วสืบไป

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑๐  ม.ค. ๕๓

            โยมผู้ดูแลอุปัฎฐากพระอาจารย์ประสิทธื  ปูญญมากโร  วัดป่าหมู่ใหม่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ได้โทรฯมาเล่าให้ฟังว่า  ได้ฉันยาสมุนไพรที่อาตมาถวายไปทำให้สุขภาพของท่านดีขึ้นมาก  จึงได้จัดส่งยาสมุนไพรไปถวายท่านอีก  นับว่าเป็นความโชคดีที่ได้ถวายแด่พระมหาเถระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
            พระอาจารย์ประสิทธิ์นี้มีโยมเล่าให้ฟังว่า  เมื่อประมาณ ๘ ปีที่แล้วได้มีข่าวลงหนังสือพิมพ์ว่า  พระอาจารย์ได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ตัวท่านถูกรถลากไปประมาณ ๓๐ กว่าเมตร เนื้อที่แขนหลุดออกมาและมีรอยบาดเจ็บตามร่างกาย  ได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล  เมื่อคุณหมอได้ฉายเอ็กซเรย์ดูที่กระดูก  ปรากฏว่ากระดูกของท่านมีความใสสว่างกลายเป็นพระธาตุไปจนหมด  หมอฟันที่จังหวัดเชียงใหม่ได้เคยถอนฟันของท่านแล้วนำฟันที่ถอนออกนั้นไปเก็บไว้  ฟันนั้นก็กลายเป็นพระธาตุเช่นเดียวกัน พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าผู้ที่มีจิตบริสุทธิ์  ได้ปฏิบัติธรรมจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์    จิตที่บริสุทธิ์สามารถที่จะฟอกกระดูกในร่างกายให้ใสเป็นพระธาตุได้ ขออนุโมทนา  สาธุ ในคุณงามความดีของท่านเป็นอย่างยิ่ง

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑๑  ม.ค. ๕๓

         ครามละเอียดและความเข้าใจในพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น  จะลุ่มลึกไปตามภูมิธรรมแห่งจิตของผู้ประพฤติปฏิบัติ  เมื่อก่อนมีความคิดว่า   ความคิดทางโลกหรือทางธรรมที่ไม่ได้เกิดจากภาวนา  สามารถทำให้เกิดปัญญาที่แท้จริงได้ เมื่อปฏิบัติและพิจารณาไปก็เห็นว่าความคิดนี้ไม่ถูกต้อง จึงได้ทิ้งตำราทั้งหมดในระหว่างการปฏิบัติธรรม ปัญญาต่างๆเริ่มที่จะแจ้งประจักษ์ในใจของเรา การที่จะแก้ใขปัญหาต่าง ๆสามารถแก้ไขได้โดยการภาวนา  เมื่ออาตมามีปัญหาที่ต้องแก้ไขในเรื่องต่าง ๆ  อันดับแรกจะใช้ความคิดในเรื่องนั้น ๆ เมื่อไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการพิจารณา  จึงได้ปล่อยปัญหานั้นทั้งหมด  แล้วปฏิบัติธรรมเฝ้าดูกายดูจิตตลอดเวลา(คือดูความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิต) รู้เห็นอะไรก็สักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าเห็น  เมื่อถึงความสงบในระดับหนึ่ง  สิ่งที่เราคิดไว้ตั้งแต่ต้นจะผุดขึ้นมาในจิตของตนเอง  และสามารถจะแก้ปัญหาต่าง ๆได้ทั้งหมด ในขณะแห่งจิตที่สงบนั้นไม่ว่าจะเป็นทางโลกหนือทางธรรม  ก็สามารถใช้วิธีนี้ได้ทั้งหมด

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๑๘  ม.ค. ๕๓

ในระยะนี้ไม่ได้เขียนธรรมะเป็นเวลาหลายเดือน ทั้งนี้เนื่องมาจากอาตมาได้ปฏิบัติ
ธรรมอย่างต่อเนื่อง   ทำให้หยุดการงานทางโลกเกือบทั้งหมด  การภาวนาอย่างต่อเนื่อง
เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตของเรา  เพราะการภาวนาดูจิตดูใจของเรา  ทำให้รู้เห็น
ธรรมตามความเป็นจริง  สามารถสร้างความสุขได้ในใจของเรา  การงาน
อย่างอื่นที่จะเสมอการงานในจิตในใจของเรานั้นไม่มีอีกแล้ว  เพราะเราสามารถ
หาที่พึ่งที่แท้จริงในใจชองเราเอง

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๓  มิ.ย. ๕๓

การภาวนาปฏิบัติธรรมนั้น  ถ้าดูโดยผิวเผินไม่เห็นจะยากอะไรเลย  ไม่ต้องแบกไม่ต้องหามไม่ต้องทำงานอะไรมาก  แต่ถ้ามองในด้านจิตใจแล้ว  มันต้องฝืนต่อกิเลสหลายสิ่งหลายอย่าง  บางครั้งสิ่งที่อยากได้ก็ไม่ได้  ที่ไม่อยากจะได้บางครั้งก็ได้  ต้องอดทนต่อโลกธรรมทั้งหลาย  ต้องเฝ้าดูกายดูจิตอยู่ตลอดเวลา  ถ้าสามารถทำได้นับว่าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด  เพราะการชนะตนเองเป็นชัยชนะที่ดีที่สุด

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๗ มิ.ย. ๕๓

เมื่อวันที่ ๘ มิ.ย. ที่ผ่านมาอาตมาป่วยเป็นโรคคางทูม  เร่ิมตั้งแต่มีอาการปวดบวมบริเวณเหงือก  ในตอนกลางคืนในตอนเช้าต่ืนขึ้นมามีอาการบวมมากขึ้น         อาตมาไม่ได้ฉันยาแผน
ปัจจุบันมาเป็นเวลาประมาณ ๑๕ ปีที่ผ่านมา  เพราะมีผลแทรกซ้อนหลายอย่าง  ดังนั้นจึงพยามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด  แม้บางครั้งจะป่วยหนัก  ก็ใช้ยาแผนโบราณและธรรมโอสถรักษา   ในตอนเย็นของวันนั้นรู้สึกเป็นไข้มีอาการหนาวสั่น  จึงได้รักษาโดยการฝังเข็มด้วยตนเอง  ฝังอยู่ประมาณ ๕๐ นาทีจึงได้นำเข็มออก  อาการต่างๆก็ดีขึ้นและหายเป็นปรกติ   ในตอนเช้าของอีกวันหนึ่ง  อาการปวดได้เกิดขึ้น  จึงใช้การฝังเข็มในการรักษา  ฝังเข็มอยู่ประมาณ ๒๐ นาที อาการต่าง ๆก็ดีขึ้นและหายเป็นปรกติ
ในวันต่อๆมามีอาการอวกอาเจียน  ปวดบวมที่ปากมากขึึ้น  จึงอาศัยยาแผนโบราณและ
การฝังเข็มในการรักษา อาการต่างๆก็ดีขึ้น และได้หายเป็นปรกติในเวลาต่อมา

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑๓  มิ.ย. ๕๓

การปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งที่สำคัญ  เพราะทำให้เรามีสติรู้จักตนเอง  ความผิดพลาดจะมีน้อย  แม้มีความผิดพลาดก็สามารถแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น  สิ่งที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันคือเรื่องของความป่วยไข้  ก่อนที่จะป่วย ขณะป่วยและเวลาหายป่วย  สามารถที่จะรู้ได้เป็นระยะๆ  ทำให้มีสติปัญญาในการแก้ปัญหาได้ดียิ่งขึ้น  บางครั้งเหมือนกับจะมีอาการป่วยที่มาก  แต่ถ้ารุ้เท่าทันและแก้ไขในเบื้องต้น  สามารถที่จะทำให้อาการต่างๆกลับกลายเป็นดีีได้  เรื่องของอารมณ์  เรื่องของโลกธรรม  เรื่องทุกสิ่งทุกอย่างสามารถแก้ไขได้เช่นเดียวกัน

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๑๔​ มิ.ย. ๕๓

คนเรานั้นเมื่อมองโลกในแง่ร้าย  จิตใจของเราจะพบกับความทุกข์  เช่นเราเห็นว่าบุคคลคนนี้ทำไม่ดีกับเราหรือกับคนอื่น  ซึ่งความจริงตามสมมุติก็เป็นเช่นนั้นจริง  เมื่อเราได้พูดหรือพบกับบุคคลคนนั้น  จิตที่ตั้งไว้ไม่ดีย่อมทำให้ใจเราเป็นทุกข์    แต่ถ้าเขาจะมีความเลวเช่นใดก็ชั่งเขา  ขอให้เรามองโลกในแง่ที่ดี  ชีวิตของเราก็จะมีความสุข  แม้สุดท้ายบุคคลคนั้นไม่มีความดีเอาเสียเลย  ถ้าใจของเรามองในแง่ดีว่า  ยังดีนะที่เขาอุตส่าห์เกิดมาเป็นคน  คงทำดีอะไรมาบ้างละ  ความคิดเช่นนี้แหละจะทำให้จิตใจของเราพบแต่ความสงบสุข  เพราะธรรมชาติของจิตใจที่คิดในทางที่ดีย่อมนำความสุขมาให้  การที่จะเข้าใจเช่นนี้ได้   ต้องอาศัยการเจริญภาวนาอยู่เสมอ พินิจพิจารณาถึงความทุกข์ที่เกิดขึ้นมาในใจของเรา
อยู่เสมอ หาสาเหตุของความทุกข์ว่ามันเกิดจากอะไร  จีึงจะแจ่มแจ้งและเข้าใจในจิตของเราเอง

 พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน    ๓  ก.ค. ๕๓

เมื่อมีปัญหาปัญญาจึงจะเกิด  ปัญหาและอุปสรรคจึงเป็นความเจริญงอกงามของปัญญา  บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่กลัวปัญหาที่จะเกิดขึ้น  ทั้งร้ายและดี  ย่อมใช้สติพิจารณาปัญหาต่าง ๆ  แล้วค่อยแก้ไขให้ลุล่วงไปด้วยดี  การเจริญสติอยู่เสมอเป็นการเตรียมพร้อมที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ  ได้เป็นอย่างดีและแก้ไขได้ทันทีเมื่อปัญหานั้น ๆเกิดขึ้นมา  ดังนั้นการมีสติคือความระลึกได้และสัมปชัญญะคือการรู้ตัวทั่วพร้อม  จึงเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของเรา  เพราะจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงให้กับตัวเราตลอดไป

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน  ๔  ก.ค.  ๕๓

คนบางคนพร้อมที่จะแก้ไขตนเองให้เป็นคนดี  แต่ด้วยปัญญาที่หยั่งลงไม่ถึง  จึงไม่สามารถแก้ไขส่ิง
ที่ไม่ดีได้  มีโยมคนหนึ่งไม่รู้จักคำว่าขันติและโสรัจจะ  คือธรรมที่ทำให้เป็นคนงาม  รู้แต่เพียงว่านึก
ที่จะพูดอะไรออกมาที่เป็นความจริงตามที่ตนคิดว่าถูกต้อง  โดยที่ไม่ดูกาลดูเวลาว่าสมควรหรือไม่ 
เรื่องต่างๆทั้งดีและร้าย  จึงได้ประสบกับโยมคนนี้เสมอ  เข้าไปที่ไหนทำให้สังคมนั้น ๆเกิดความ
ปั่นป่วนไม่สงบ  ครั้งแล้วครั้งเล่าที่มีปัญหาเกิดขึ้นมา  จนกระทั่งวันได้มีโอกาสอ่านหนังสือกาตูน
ธรรมะที่อธิบายคำว่าขันติคือความอดทน  โสรัจจะคือความสงบเสงี่ยม  และได้อธิบายเหตุผลต่าง ๆว่าทำไมจึงต้องมีธรรมข้อนี้ไว้ประจำใจทำให้เริ่มเข้าใจคำทั้งสองนี้  ปัจจุบันโยมคนนี้มีตำแหน่ง
ใหญ่โตได้เข้าสังคมกับคนเป็นจำนวนมาก  ทั้งที่เป็นผุ้ใหญ่และผุู้น้อย  ได้นำข้อธรรมะทั้งสอง
อย่างนี้ไปใช้กับชีวิตประจำวัน แม้ปัญหาจะเกิดขึ้นก็แก้ไปได้ด้วยดี ทำให้เป็นที่รักของชนทั้งหลาย 
นี่แหละธรรมของพระพุทธองค์สามารถแก้ไขให้คนเป็นคนดีได้  ถ้าเขาเหล่านั้นพร้อมที่จะหันมา
มองตนเองและแก้ไขสิ่งบกพร่องที่ขึ้นกับตนเอง  เมื่อเรามีความอดทนอดกลั้นจะมีความลำบาก
ในเบึ้องตน  แต่จะมีความสบายในภายหลัง  ที่เขาเรียกว่าอดเปรี้ยวเอาไว้กินหวาน  เพื่อชีวิตที่ดี
และมีความสุขในโลกใบนี้ที่เราอาศัยอยู่

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๖  ก.ค. ๕๓

โยมคนหนึ่งได้สอบถามมาว่า  สังคมที่ตนเองอยู่มีแต่ความหลอกลวงไม่จริงใจซึ่งกันและกัน  สมควรที่จะทำตนเองอย่างไรดี เพราะในปัจจุบันเมื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับพวกนี้แล้ว  ทำให้ไม่สบาย
ใจเลย ได้ตอบให้ทราบว่า ที่จริงแล้วความทุกข์ทั้งหลายไม่ได้เกิดจากคนอื่น  แต่เกิดจากตัวของเรา
เอง  การหัดมองโลกในแง่ที่ดีชีวิตของเราก็จะเป็นสุข  แต่สุขเหนือสุขก็คือความสุขอันเกิดจากการ
ปล่อยวาง  ดั่งที่ครูบาอาจารย์ท่านได้กล่าวไว้แล้วว่า  การปฏิบัติธรรมนั้นในอันดับแรก  ให้ทำความ
ดีละความชั่ว  จนสุดท้ายให้ละทั้งดีและชั่ว  ธรรมอันเป็นของลึกซึ้งที่อยู่ภายใน  จะเข้าใจและสัมผัส
ได้ก็ต้องอาศัยการเจริญภาวนา  เข้าไปรู้เหตุผลในใจของเราเอง  ไม่สามารถที่จะรู้ได้เพียงแค่ความ
นึกคิดหรือการคาดเดาต่าง ๆ นา ๆ  การท่องเที่ยวที่สนุกที่สุดได้แก่การท่องเที่ยวไปในกายนคร
ของเรานี้แหละ

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๗  ก.ค. ๕๓

งานบางอย่างถ้าเราตั้งใจทำให้ดีที่สุด  โดยไม่คิดว่าจะให้ใครเขามาชื่นชมเรา  บางครั้งงานอันนั้น
เป็นงานที่ดีและวิเศษเป็นที่ชื่นชอบของชนทั้งหลาย  แต่ถ้างานใดที่ทำลงไปแล้วคิดว่าอยาก
จะให้ชนทั้งหลายชื่นชอบยกย่อง  งานนั้นจะสำเร็จได้โดยยาก  เพราะจิตที่มีความอยากเด่นอยากดัง 
ทำไปด้วยจิตใจที่มีความโลภโกรธหลง  ทำให้บั่นทอนความดีของตน  ดังนั้นจะทำอะไรจงมุ่งหวัง
ผลที่ดีเป็นสำคัญ  มากกว่าเกียรติยศชื่อเสียง  สิ่งเหล่านี้จะตามมาเอง  เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม  ไม่อยากได้มันก็ได้  ไม่อยากดังมันก็ดัง  ไม่อยากให้คนชื่นชอบเขาก็ชื่นชอบ    ธรรมชาติมันเป็น
เช่นนี้เสมอ

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๘  ก.ค. ๕๓

จิตใต้สำนึกที่อาตมามีมาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆและตอนโต  เมื่อกาลเวลาผ่านไปสิ่งเหล่านี้กลับกลาย
เป็นความจริงขึ้นมา  ดั่งเช่นเมื่ออาตมาอายุประมาณ ๕ ปี  จิตใจในตอนนั้นอยากจะไปอยู่ที่เมือง
เหนือ  มันเป็นความรู้สึกภายในทมีมาตลอด  ต่อมาก็ได้ไปอยู่เมืองเหนือตามที่
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริง ๆ
            เมื่ออายุประมาณ ๑๖ ปี เห็นโยมข้างบ้านทำยาสมุนไพรช่วยคนที่เป็นโรคร้าย  เช่นโรค
มะเร็ง  เบาหวาน  มีอาการที่ดีขึ้นเป็นส่วนใหญ่  ในจิตจึงคิดว่ายาสมุนไพรไทยนี่ดีนะ  เมื่อโตขึ้น
อยากจะทำยาช่วยคน  มาถึง  ณ  บัดนี้อาตมาได้ทำยาช่วยคนได้หลายขนาน  ขอยกตัวอย่างให้พอ
สังเขป
            ยาปรับธาตุ  เป็นยาสูตรของหลวงปู่ฝั้น  อาจาโร  ท่านนิมิตฝันไปว่ามีเทวดามาบอกสูตร
ยาท่านให้ทำช่วยคน  ท่านได้ให้คนทำและช่วยคน  ปรากฏว่าช่วยรักษาโรคต่าง ๆได้ดีมาก  ท่านจะเรียกยานี้ว่า “ยาส้มกรรมฐาน”  ซึ่งยานี้อาตมาทำมาประมาณได้ ๒๐ ปี  สามารถช่วยคน
ได้มาก  โรคร้ายหลายชนิด  สามารถช่วยให้ทุเลาเบาบางได้เป็นอย่างดี  ได้มีโอกาสเผยแพร่ให้ทาง
หน่วยงานของรัฐ เช่นผู้อำนวยการโรงพยาบาล  จังหวัดเชียงใหม่ (ขอสงวนนาม) ส่งคนไปฝึกทำเพื่อที่จะช่วยเหลือประชาชนทั้งหลาย  ด้วยเหตุบังเอิญที่ยานี้ไปเหมือนกับยาที่
ต่างประเทศนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเรา  ราคาแพงพอสมควร  การนำไปใช้เหมือนกัน
เป็นอย่างมาก  ส่วนคุณภาพยาของเราอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำไป  และมีสมุนไพรอีกหลายชนิด
ที่ช่วยคนได้ผลดีเช่นเดียวกัน  ปัจจุบันกำลังจะทำโรงงานยาสมุนไพรให้ถูกต้องตาม
กฏหมาย  เพื่อที่จะได้ช่วยชนทั้งหลายได้มากยิ่งขึ้น 
             อาตมามีความปรารถนาอยากจะถวายความรู้ให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายให้ด้านธรรมะเท่า
ที่จะทำได้  ในระยะหลายปีมานี้ได้มีโอกาสนำครูบาอาจารย์และญาตโยมไปประเทศอินเดียและ
เนปาลเพื่อนมัสการสังเวชนียสถาน  และได้มีโอกาสถวายความรู้ตามที่ตนเองปรารถนา
              จิตใต้สำนึกนี่แหละอาจจะเป็นสิ่งที่เราปรารถนามาแล้วข้ามภพข้ามชาติ   ทำให้ความรู้
สึกเหล่านี้เกิดขึ้นมาในจิตอยู่เสมอ

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๙  ก.ค. ๕๓

              อุปสรรคต่าง ๆที่เราทั้่งหลายได้ประสบมา  ถ้าเราขาดสติหรือกำลังใจไม่เข้มแข็งพอ  อาจทำให้เรามีความทุกข์ความเจ็บช้ำ  กินไม่ได้นอนไม่หลับ  แต่ถ้าเรามีการเจริญสติเฝ้าดูเฝ้ารู้จิตใจ
ของเราอยู่เสมอ  ความทุกข์จะค่อย ๆคลายออกไป  จนกลายเป็นผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็ง  พร้อมที่จะต่อสู้
กับอุปสรรคทั้งหลายอย่างไม่ย่อท้อ  เหมือนกับลูกโป่งหรือลูกฟุตบอล  ถ้าเรากดลงไปในน้ำด้วย
ความแรงมากเพียงไร  เมื่อเราปล่อยออกจากมือส่ิงเหล่านี้จะมีกำลังฟุ่งขึ้นมาเหนือน้ำ  ได้มากน้อย
ตามกำลังของมือที่กดลงไป  มือที่เรากดลงใต้น้ำเปรียบเหมือนความทุกข์ที่เราประสบในขณะนั้น
ลูกโป่งที่ลอยขึ้นเหนือน้ำ  เปรียบเหมือนดวงปัญญาที่เราสามารถปลดปล่อยความทุกข์นั้นได้  ดังนั้นเมื่อเราได้พบกับความทุกข์จงมีสติอยู่กับส่ิงเหล่านนั้น  คอยวันเวลาที่จะปลดเปลื้อง
ความทุกข์นั้นออกไปจากใจของเรา  แล้วดวงปัญญาก็จะผุดลอยขึ้นมาแทนที่ในใจของเรา  สุดท้ายเราจะเป็นผู้เข้มแข็ง  พร้อมที่จะรับกับความทุกข์ทั้งหลายด้วยความเบิกบานใจ

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๑๐  ก.ค. ๕๓

              ความทุกข์ก็ดี  ความสุขก็ดี  ที่แท้แล้วมันเป็นแต่เพียงสิ่งสมมุติ  และมันมีค่าเสมอกัน  ใจ
ของเราต่างหากที่ไปสมมุติค่าของมัน  ถ้าเราปลดเปลื้องสมมุติเหล่านี้ได้มากเพียงไร  ความเป็น
อิสระความสุขสบายจะเกิดขึ้นมาในใจของเรามากเพียงนั้น  นี่เป็นความจริงที่พระพุทธองค์ทรง
ค้นพบมานานแล้ว  และพระองค์ทรงสอนให้เราเข้าถึงความบริสุทธิ์นี้  แต่ด้วยสติปัญญาที่ไม่รู้ทัน
ของพวกเรา  ทำให้เราหลงวนเวียนในวัฏฏะสงสารเกิดแล้วตาย  ตายแล้วเกิด มาหลายภพหลายชาติ
ศีล  สมาธิ  ปัญญา  เท่านั้นที่จะทำให้เราเข้าถึงความบริสุทธิ์อันนี้ได้

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๑๑ ก.ค. ๕๓

              พระคุณเจ้ารูปหนึ่ง  ท่านอยู่กับอาตมาได้ประมาณ ๒ ปี ท่านเล่าให้ฟังว่าสมัยตอนเป็น
ฆราวาสท่านเป็นคนเกเรเป็นอย่างมาก  ใช้เงินของพ่อแม่ไปเป็นจำนวนมาก ทั้งสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย
เช่น  สุรา  นารี  นักเลงหัวไม้ ฯ บรรดาความชั่วร้ายทั้งหลายมีเพรียบพร้อมไปหมด  หลังจากที่ได้
อยู่กันมา  ท่านได้ปรับตนเองให้ดีขึ้นตามลำดับ  แม้พระที่อยู่ที่วัดก็ชมว่าท่านมีความประพฤติดีขึ้น
กว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมาก  นี่แหละธรรมของพระพุทธองค์สามารถแก้ไขสิ่งชั่วร้ายในใจให้กลับ
กลายเป็นดีได้

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๑๒ ก.ค. ๕๓

              โยมจ้อย(นามสมมุติ) นี่ก็เป็นคนอีกคนหนึ่งที่มีนิสัยเกเรเป็นอย่างมาก  จนญาติพี่น้องมี
ความเบื่อหน่ายบุคคลนี้เป็นอย่างมาก  จึงได้นำไปฝากไว้ที่วัดเพื่อที่จะให้ทางวัดอบรมบ่มนิสัยให้
เป็นคนดี  โยมจ้อยคนนี้ทำดีอยู่ไม่กี่วัน  นิสัยและสันดานเดิมก็เริ่มออกมาให้เห็น  พยายามหลีกเลี่ยง
ไม่ทำตามข้อวัตรปฏิบัติของทางวัด  แอบออกไปนอกวัดไปกินเหล้าเมายา  หาเรื่องกับชาวบ้าน
หลายครั้ง จนสุดท้ายต้องให้ออกไปจากวัด  เพราะเห็นว่าเขาไม่ตั้งใจที่จะแก้ไขตนเอง  และทำความ
ลำบากเดือดร้อนให้กับส่วนรวม อยู้ไปก็จะมีแต่ความเสียหายให้กับทางวัด  จะเห็นได้ว่าถ้าเราไม่
พยายามที่ช่วยตนเองแล้ว  คงไม่มีใครที่จะช่วยตัวเราได้

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๑๓ ก.ค. ๕๓

              วันนี้ได้มีโอกาสไปแสดงธรรมที่โรงพยาบาลสารภี  ทางผู้อำนวยการได้มีการจัดปฏิบัติ
ธรรมที่โรงพยาบาลเป็นเวลา ๓วัน เพื่อเตรียมตัวในการทำความดีในโอกาสวันเข้าพรรษา มีผู้
ร่วมฟังธรรมประมาณ ๖๐ คน  ผู้ฟังส่วนใหญ่มีความสนใจในการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างดี
เมื่อจบธรรมบรรยายได้มีการสอบถามปัญหาธรรมต่าง ๆ  และได้แนะนำการนั่งสมาธิภาวนา
ในตอนบ่ายอีกประมาณ ๑ ชั่วโมง  การทำความดีเช่นนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากในปัจจุบัน  เพราะคนเราส่วนมากมักหลงมัวเมาในสิ่งที่ไร้สาระ  โดยที่ตนเองคิดว่าเป็นส่ิ่งที่มีสาระ  น่าอนุโมทนากับคณะผู้จัดกิจกรรมในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง

 พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๑๗ ก.ค. ๕๓

             พระทาคาสิ  เป็นพระภิกษุชาวญี่ปุ่น  อยู่ที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะมาประมาณ ๑๐ ปี  ท่านชอบการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างมาก  และมีความเชื่อมั่นในตนเองมาก  มีความมุ่งมั่นจริงจัง
ซึ่งเป็นนิสัยปรกติของชาวญี่ปุ่น  ท่านชอบเอานำนมกล่องมาทำนมเปรี้ยวไว้ฉันเป็นยา  เมื่อฉันเข้า
ไปแล้วมีอาการคันเกิดขึ้น  อาตมาได้บอกให้ท่านทราบว่าสาเหตุเกิดจากนมที่ใช้ทำ  ท่านก็ยังไม่
เชื่อและทำฉันเรื่อยมาเป็นเวลาหลายปี  อาการคคันก็ยังไม่หาย  และเมื่อสองวันที่ผ่านมาท่านได้เล่า
ให้ฟังว่า  เมื่อประมาณ ๓ เดือนที่ผ่านมาท่านได้ปฏิบัติธรรมปิดวาจาเป็นเวลา ๔๕ วัน  ท่านได้งด
ฉันนมเปรี้ยวอาการคันที่เคยเป็นก็ไม่เกิดขึ้นมา  ท่านจึงแน่ใจว่าเกิดจากนมที่ใช้ทำอย่างแน่นอน  ท่านจึงได้งดฉันนมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
              จะเห็นได้ว่าการที่จะเปลี่ยนความคิดของใครสักคนหนึ่งให้เชื่อตามเรา  เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก
บางครั้งเราต้องเคารพความคิดของบุคคลอื่น  แม้สิ่งที่เราพูดออกไปเป็นสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม  แต่
เมื่อพูดให้บุคคลใดฟังแล้วเขาไม่เชื่อและไม่ทำตาม    เราก็ต้องยอมรับความคิดของเขา  ถ้าเรื่องนั้น
ไม่ผิดศีลธรรมอันดีงาม  แต่ถ้าจะให้บุคคลอื่นเมื่อฟังคำพูดของเราแล้วเชื่อเราหมด   เราก็คงจะอยู่ใน
โลกนี้อย่างทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง  เพราะมันไม่สามารถเป็นอย่างที่เราคิดได้เลย

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๒๘ ก.ค. ๕๓

              โยมแขกพาภรรยาและลูกสาวไปทำบุญที่วัด  เขาบอกว่าอีก ๒ เดือนรถที่ผ่อนมาเกือบ ๕ ปี
จะผ่อนหมดแล้ว  เขามีความสุขกับรถคันนี้เป็นอย่างมาก  จำได้ว่าสมัยที่เขาซื้อรถมาใหม่ ๆ  ต้อง
ผ่อนงวดรถเดือนละ ๕๐๐๐  บาททุกเดือน  เงินเดือนก็ไม่ถึง หนึ่งหมื่นบาท  ภรรยาบางครั้งก็ไม่มี
งานทำ ความทุกข์ใจได้เกิดขึ้นกับเขา  ได้ฟังคำพูดที่เขาพูดให้ฟังเมื่อครั้งนั้นว่า ในชาตินี้ขอมีรถใหม่
สักหนึ่งคัน  มันเป็นความภาคภูมิใจสำหรับเขาเป็นอย่างยิ่ง  แม้จะทุกข์ยากประการใดก็สามารถฟัน
ฝ่าอุปสรรคได้สำเร็จ  จะเห็นว่าคนเรานั้นกว่าจะทำอะไรให้สำเร็จ  จะต้องมีความใฝ่ฝันเสียก่อน 
แล้วจึงพยามยามทำตามความฝันอันนั้น  จนกว่าความต้องการนั้นจะสำเร็จสมความปรารถนา   และ
ควรปรารถนาในสิ่งที่ไม่เหลือวิสัยที่จะกระทำได้

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๒๙ ก.ค. ๕๓

              โยมหนึ่งหนึ่งบ้านอยู่กรุงเทพ  ได้ทำการค้าอย่างหนึ่งและผ่อนบ้านราคาหลายล้านบาทไว้หนึ่งหลัง
ปัจจุบันการค้าที่ทำประสบความล้มเหลว  บ้านก็กำลังจะถูกยึด  เขามีความทุกข์ร้อนใจเป็นอย่างมาก
หาที่พึ่งที่ไหนก็ไม่มี  ไม่ทราบว่าใครจะช่วยโยมคนนี้ได้  หรือคงเหมือนหลายคนที่ต้องถูกยึดทรัพย์
สิน  และต้องเป็นบุคคลล้มละลายไปในที่สุด  ฉะนั้นจะทำอะไรต้องใคร่ครวญให้ดีเสียก่อนแล้วจึงทำ  ครูบาวงศ์  ท่านเมตตาสั่งสอนว่า  จะทำการงานสิ่งใดให้ทำเล็กๆไปก่อน  เมื่อกิจการนั้นดีขึ้นจึง
ค่อยขยายให้กว้างขวางออกไป  ถ้าทำอะไรแล้วทำให้ย่ิงใหญ่ไปเลย  อาจจะมีความผิดพลาดได้
แล้วความล้มเหลวก็จะตามมาในภายหลัง  พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า  จะทำกิจการใด  จงใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงลงมือทำ  นั่นแหละจึงเป็นการดี

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๓๐ ก.ค. ๕๓

              เมื่อเราใคร่ครวญดีแล้ว  จึงทำกิจการงานนั้นๆ  บางครั้งก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ
เพราะความผิดพลาดย่อมมีเป็นของธรรมดา  คนที่ไม่ผิดก็คือคนที่ไม่ทำอะไรเลย  จงเอาความผิด
นั้นแหละเป็นครูสอนเรา  เพื่อให้เราเป็นผู้ที่ฉลาดในโอกาสต่อไป  ก่อนทำอะไรและขณะที่ทำ
กิจการใด   ให้มีสติใคร่ครวญไปด้วยตลอดเวลา  แม้ความผิดพลาดอาจเกิดขึ้นได้  เราอาจจะแก้ไขได้ทัน  หรือเกิดความเสียหายไม่มาก  เพราะการที่เราเจริญสติอยู่เสมอนั่นเอง

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๓๑ ก.ค. ๕๓

              การทำการงานใดต้องมีความมุ่งมั่นทำกิจการนั้นอย่างไม่ท้อถอย  จนกว่างานนั้นจะสำเร็จงานบางอย่างต้องใช้เวลาเป็นสิบ ๆปี  กว่างานนั้นจะสำเร็จได้   ความอดทนอดกลั้นนี่แหละเป็นตบะอันสูงสุดที่จะทำให้บุคคลผู้มีความเพียรเข้าถึงความสำเร็จได้  และจะเห็นได้ว่าบุคคลใดถ้าปราศจาก
ความเพียรเสียแล้ว  จะทำอะไรให้สำเร็จคงจะเป็นไปไม่ได้เลย

 

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๑  ส.ค. ๕๓

ความเพียรที่จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด  ได้แก่ความเพียรในการดูจิตของตนเอง  เป็นความเพียรที่จะถอดถอนกิเลสออกจากจิตจากใจของเราเอง  เพราะธรรมชาติแห่งความยึดมั่นถือมั่น  เป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์   บุคคลใดถ้าสามารถทำความเพียรในจิตของตนเอง   ย่อมสามารถพ้นจากบ่วงของมาร  และเข้าถึงซึ่งอมตะธรรมได้อย่างแน่นอน

 

 

             

 

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๒  ส.ค. ๕๓

               คนบางคนชอบติเตียนคนอื่น  แต่ความผิดของตนเองนั้นกลับมองไม่เห็น  ใครจะตักเตือนก็ไม่ได้ ซึ่งมีอยู่มากในสังคมมนุษย์สิ่งที่จะแก้ไขได้ก็คือธรรมะของพระพุทธองค์เท่านั้นที่จะกระทำได้   บุคคลใดที่ศรัทธาในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า   แล้วพยายามปฏิบัติ
ตามที่พระองค์ทรงสั่งสอน  เขาเหล่านั้นก็พร้อมที่จะแก้ไขตนเองให้ดีได้  เมื่อถึงเวลาและโอกาสอันเหมาะสม 

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๓  ส.ค. ๕๓

                วันนี้ได้ไปกราบพระอาจารย์ประสิทธิ์  ปุญฺญมากโร  วัดป่าหมู่ใหม่    และพระอาจารย์เปลี่ยน  ปญฺญาปทีโป  วัดอรัญญวิเวก  อ.แม่แตง  จ.เชียงใหม่  พระอาจารย์ทั้งสองท่านมีความเมตตาเป็นอย่างมาก   พระอาจารย์เปลี่ยนท่านได้เมตตามอบผ้าไตรจึวรที่ท่านครองใหม่
ในวันนี้ให้อาตมานำไปครองจำนวน ๑ ชุด นับเป็นความเมตตาเป็นอย่างยิ่ง  ถ้าเราหมั่นภาวนาชำระจิตใจของตนเองให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองอยู่เสมอ  ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย 

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๔  ส.ค. ๕๓

                เมื่อจิตใจของเรามีความเศร้าหมอง  ถ้าเราหมั่นพิจารณาถึงเหตุของความเศร้าหมองนั้น  ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสให้รู้จักความทุกข์  แล้วหาสาเหตุของความทุกข์นั้นว่าเกิดจากอะไร  ยอมรับสภาพตามความเป็นจริง  เห็นความจริงในสิ่งสมมุติทั้งหลายที่เป็นปรมัตถ์  ความทุกข์ที่
เกิดขึ้นจะหลุดออกจากจิตใจของเรา  มีแต่ความเบาสบายพร้อมที่จะต่อสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๕  ส.ค. ๕๓

               ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นมาบางครั้งต้องแก้ในปัจจุบันที่ปัญหานั้นเกิดขึ้นมา  ปัญหาบางอย่างก็ต้องอาศัยการเวลาที่จะคลี่คลายตัวของมันเอง  จงมีสติเฝ้าดูเฝ้ารู้จิตใจของเรา  ตัวรู้ในปัจจุบัจะทำการแก้ไขตัวของมันเอง  เราจะรู้ว่าควรทำอะไรในขณะนั้นให้เหมาะสมและดีงามที่สุดถ้าทำอะไรด้วยความร้อนรนรีบเร่ง  ความสำเร็จย่อมเกิดได้ยากเพราะความวุ้นวายได้เกิดขึ้นแล้วในใจของเรา  เมื่อต้นกำเนิดคือจิตมันเกิดความวุ้นวายเสียแล้ว  แล้วจะคิดแก้ปัญหาให้มีความสงบสุขได้อย่างไร

 

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๖  ส.ค. ๕๓

 

 

 

ขันติคือความความอดกลั้นเป็นธรรมเครื่องเผากิเลส  เป็นสิ่งที่ระงับความวุ้นวายที่เกิดขึ้น
มาในใจของเราได้  จงมีขันติอยู่เสมอเพื่อความดีงามที่จะบังเกิตขึ้นมาในภายหลัง  ดั่งที่โปราณได้
กล่าวไว้ว่า ให้อดเปร้ียวเอาไว้กินหวาน   หรือว่า  ช้าๆได้พร้าเล่มงาม  แม้เมื่อมีขันติจิตใจอาจจะ
กระสับกระส่ายไม่สงบในเบื้องต้น  แต่ความสงบร่มเย็นย่อมเกิดขึ้นมาในภายหลังอย่างแน่นอน

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๗  ส.ค. ๕๓

              คนเราเมื่อมีความสงบ แม้จะทำกิจการงานใด ๆ  แม้ทำน้อยก็จะได้ผลมาก  แม้ทำทีหลัง
ก็จะได้ก่อนเขา  ผิดกับการทำอะไรด้วยความวุ้นวายเร่งรีบ  จะทำมากก็ได้น้อย  ทำก่อนก็ได้ทีหลัง
มันเป็นประสบการณ์ที่ต้องเรียนกันทั้งชีวิต  ไม่มีใครสอนเราได้ดีเท่ากับการสอนตนเอง  ประสบการจริงมันเป็นสิ่งที่ทำให้เราเข้าใจลึกซึ้งในสิ่งเหล่านี้  เป็นปริญญาชีวิตที่ควรจดจำไว้เป็นอย่างยิ่ง 

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๘  ส.ค. ๕๓

              ความเจ็บปวดในจิตใจของเราในปัญหาต่าง ๆที่เกิดขึ้น  มันเป็นความร้อนที่จะเผากิเลส
ให้มอดไหม้ลงไปที่ละน้อย  ความเจ็บปวดนี่แหละจะเป็นความแข็งแกร่งให้เราในภายหลัง 
เราจะเข้าใจด้วยตัวของเราเอง  และจะขอบคุณความผิดหวังทั้งหลายเหล่านี้  แล้วเราจะรู้ว่าจิตใจ
ที่เข้าไปยึดมั่นนี่แหละ  เป็นกิเลสที่ต้องพยามปลดปล่อยออกไปจากใจของเรา  ด้วยการหมั่นเจริญ
ภาวนาอยู่เสมอ  จนเกิดปัญญา ละ ปล่อย  วาง  กิเลสตัณหาอุปาทานทั้งหลายเหล่านี้

 

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๙  ส.ค. ๕๓

 

มีโยมคนหนึ่งไปปฏิบัติธรรมที่วัด  ได้เล่าให้ฟังถึงอารมณ์ความอยากที่เกิดขึ้นในใจของ
ตน  เช่นอยากได้ของสิ่งนั้นสิ่งนี้  เมื่อจะได้ของสิ่งนั้นมารู้สึกว่าอารมณ์เป็นสุข  แต่เมื่อได้ของสิ่ง
นั้นมาแล้ว  อารมณ์นั้นก็หายไป  มิได้มีความสุขดั่งที่คิดไว้เลย หรือมีความสุขอยู่เพียงชั่วคราว  เป็นเช่นนี้หลายครั้งหลายหน  แต่ก็ยังมีความอยากเช่นนั้นอยู่  จะเห็นได้ว่ากิเลสทั้งหลายที่มีอยู่
ในจิตใจของเรา  มันหลอกล่อให้เราหลงไหลไปในอารมณ์  หลงเฟ้อฝันไปต่าง ๆ นา ๆ 
สุดท้ายก็ไม่ได้ดั่งที่คิดไว้  บางครั้งกลับเพิ่มความทุกข์ให้กับตัวเราเสียอีก  พระพุทธองค์ทรง
ตรัสไว้แล้วว่า  เมื่อมีวัตถุสิ่งของอันใดเราจะทุกข์อยู่กับสิ่งนั้น  เพราะต้องบริหารจัดการ
ให้เรียบร้อย  ดังนั้นจึงควรหัด ละ  ปล่อย  วาง  จะทำให้จิตใจของเราเกิดความสงบเย็นสบาย
อย่างหาอะไรเปรียบมิได้

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๑๐  ส.ค. ๕๓

              จะเห็นว่าความอยากนั้นย่อมมีไม่รู้จักจบสิ้น  ดั่งที่พระองค์ทรงตรัสว่า  แม่น้ำเสมอด้วย
ความอยากนั้นไม่มี  เมื่อเราใช้สติปัญญาใคร่ครวญอยู่เสมอ  จะเห็นโทษของความอยากนั้นว่ามัน
เป็นสิ่งที่เร่าร้อน  สมควรที่จะละถอนออกจากใจของเรา เพราะการเห็นโทษนี่แหละจึงอยากจะพ้น
ออกจากความทุกข์เหล่านี้  ถ้าไม่เห็นโทษเห็นภัยก็จะไม่สามารถถอนกิเลสตัณหาเหล่านั้นออกไป
ได้เลย

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๑๑  ส.ค. ๕๓=

 

สรีระร่างกายของคนเราเช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อวัยวะน้อยใหญ่ในร่างกายนี้ ที่จริง
แล้วมันก็ห่อหุ้มด้วยหนังแผ่นเดียว เพราะจิตที่ไปติดในสมมุตินี่แหละ ทำให้คนเราหลงงมงาย
อยู่ใน รูป เสียง กลิ่น รส ทั้งหลาย การที่จะถอดถอนความยึดติดเหล่านี้มันมิใช่ของง่ายเลย ต้องมี
ความเพียรเครื่องเผากิเลสอยู่ตลอดเวลา เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต เพราะธรรม
ชาติแห่งความยึดติดเป็นสิ่งนำมาซึ่งความทุกข์ทั้งหลาย

 

 
 

พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน   ๑๒ ส.ค. ๕๓

 

 
 

                วันนี้ญาตโยมส่วนใหญ่ทางจังหวัดสุขทัยพร้อมด้วยคณะจากหลายจังหวัด ได้มาทำบุญ
ทอดผ้าป่าที่วัด เพื่อนำปัจจัยส่วนหนึ่งถวายไว้ให้กับทางวัดและอีกส่วนหนึ่งช่วยสร้างรั้วของ
โรงเรียนบ้านแม่ตูบ โยมที่เป็นผู้นำมาได้เล่าให้ฟังถึงเหตุจูงใจที่คณะศรัทธาญาตโยมไปทำบุญในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากตนเองได้ไปเยี่ยมเพื่อนของตนที่โรงเรียนบ้านแม่ตูบ ได้พบกับนักเรียนหลายคน ได้แสดงความเคารพนบไหว้ตนเองทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันเลย ทำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของวัดกับโรงเรียนว่ามีการอบรมสั่งสอนเด็กนักเรียนในทางที่ดี เด็กมีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่ ตนเองจึงได้เชิญชวนผู้รู้จักกับมาทำบุญในครั้งนี้ เพื่อเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้เจริญถาวรสืบไป

 

 
 

พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน   ๑๓ ส.ค. ๕๓

 

 



             วันนี้ได้พาคณะผู้ปฏิบัติโรงพยาบาลสารภี ท่ีได้ไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดตั้งแต่วันที่ ๑๒
สิงหาคม เดินเข้าไปชมป่าในบริวเวณวัด ต่างก็ชมว่าธรรมชาติภายในวัดสวยงามน่าปฏิบัติธรรม
เป็นอย่างยิ่ง ธรรมชาตินั้นมีแต่ให้ความสบายใจและรื่นเริงใจ ทุกคนที่ไปปฏิบัติต่างก็ได้รับความ
สุขกายสบายใจ เพราะได้มาผ่อนคลายอารมณ์ เอาสิ่งที่ไม่ดีออกจากอารมณ์ใจของตน จัดเรียง
ความคิดให้เป็นระเบียบแบบแผนที่ดี อารมณ์แห่งความสุขเช่นนี้เป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติด้วยตนเอง
ใครทำคนนั้นก็ได้ไม่สามารถที่จะทำแทนกันได้เลย

 

 
 

พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน   ๑๔ ส.ค. ๕๓

 

 
 

                โยมที่ไปปฏิบัติที่วัดคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ตนเองได้เหินห่างการปฏิบัติธรรมมาเป็น
เวลาประมาณ ๑๐ ปี จิตใจสับสนวิ่นวายเป็นอย่างยิ่ง มองโลกในแง่ร้ายอยู่เสมอ จนสามี
ต้องขอร้องให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดใดสักแห่งหนึ่ง เพื่อระงับความทุกร้อนใจที่เกิดขึ้น 
จึงได้ไปปฏิบัติธรรมกับเพื่อนที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะแห่งนี้ ในระยะ ๓ วันที่ได้มาปฏิบัติ
รู้สึกจิตใจเย็นสบายอย่างบอกไม่ถูก ความวิตกกังวลต่าง ๆได้หายไป รู้จักตนเองมากยิ่งขึ้่น 
เมื่อได้มาพบเห็นสิ่งที่ดีในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นนี้ ต้องปฏิบัติตลอดไป เพื่อนความเจริญก้าวหน้าของตนเองสืบไป

 

 
 

พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน   ๑๕ ส.ค. ๕๓

 

 
 
ในสมัยที่อาตมาเป็นนักเรียนประจำที่โรงเรียนนายเรืออากาศ อาตมาชอบนั่งดูน้ำในสระ
อยู่เสมอ   โดยการไม่ปรุงแต่งส่ิงใด ๆทั้งสิ้น เฝ้าดูเฝ้ารู้กายและดูน้ำในสระอยู่เฉย ๆทำให้เกิด
อารมณ์ที่่สบายเมื่อมาทบทวนในภายหลัง ทำให้ทราบว่าอารมณ์เช่นนี้เป็นอารมณ์ของผู้ปฏิบัติ
ทั้งหลายที่พึงน้อมนำมาปฏิบัติ   เพราะเป็นการทำให้จิตใจเข้าสู่ความเป็นธรรมชาติ ทำให้สามารถ
รู้เห็นธรรมตามความจริง เพราะธรรมะคือธรรมชาติ จิตใจที่เป็นธรรมชาติย่อมสามารถรู้เห็นธรรม
ตามความเป็นจริงได้    

พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน   ๑๖ ส.ค. ๕๓
 

มื่อประมาณเกือบ ๒๐ ปีที่แล้ว  คนงานที่ทำงานและพักอยู่ในวัด  พวกนี้ส่วนมากจะเป็นคนงานที่หาเช้ากินค่ำ  ไม่มีเงินทองมากมาย  แต่พวกเขาก็มีความสุข  ในตอนเย็นอาตมาได้ยินเสียงร้องเพลงประกอบดนตรีพื้นบ้าน  ฟังดูแล้วพวกเขาค่อนค้างจะมีความสุข  เพราะความพอใจในสิ่งที่ตนเองมี  ผิดกับคนบางคนที่อยู่ในที่ที่เจริญ  มีเงินทองมากมายบางคนได้เงินเดือน ๆละหลายหมื่นบาท  แต่ก็ยังทุกข์ใจเพราะคิดว่าตนเองมีเงินน้อย  ยังมีความต้องการสิ่งโน้นสิ่งนี้อย่างไม่รู้จักจบสิ้น  สร้างความทุกข์ใจให้กับตนเอง  จะเห็นได้ว่าความสุขนั้นมันมิใช่อยู่ที่เงินทองแต่เพียงอย่างเดียว  ความสุขนั้นอยู่ที่ความพอใจในสิ่งที่ตนมีตนได้  ถ้ามีความปรารถนาในฐานะที่เกินความสามารถของตน  โดยที่ตนเองก็มีฐานะอยู่แล้ว  ทำให้ความคิดของตนนั้นสร้างความทุกข์ให้กับตนเอง  มักคร่ำครวญถึงอดีตที่ผ่านมาแล้ว  และอนาคตที่ยังมาไม่ถึง  ถ้าไม่ปรับความคิดของตนเสียใหม่ให้อยู่ในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์  ก็จะได้รับความทุกข์เช่นนี้ตลอดไป

 

 

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๑๗  ส.ค. ๕๓

 

 

     เมื่อสองวันที่ผ่านมาพระฮิเดยุกิ  ฐานวโร  ได้มาขออนุญาตอยู่ปฏิบัติธรรม
เป็นเวลาประมาณสองเดือน  โดยตอนเช้าลงมาบิณฑบาตแล้วมารับอาหารเช้าที่วัด
จากนั้นจะนำอาหารไปฉัน ณ ที่พักของตน  แล้วเดินทางขึ้นไปปฏิบัติธรรมบนยอดเขา
พักค้างคืนที่บนนั้น   นอกจากพระฮิเดยุกิแล้ว  ยังมีพระอาจารย์สินชัย  ท่านได้ปฏิบัติธรรม
โดยฉันเฉพาะผลไม้  ตอนเช้ามารับอาหารแล้วเข้าไปฉันในป่า  แล้วปฏิบัติธรรม ณ  ที่พักที่สร้างไว้  ตลอดระยะเวลาในพรรษานี้  ส่วนพระอาจารย์วิชาญ  ท่านได้ปฏิบัติธรรมเป็นเวลา ๑๕ วัน โดยการมารับภัตตาหารแล้วไปฉันที่พัก
              จะเห็นได้ว่าผู้ที่มีจุดมุ่งหมายปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์นั้น  ต้องมีความเพียรอย่างสม่ำเสมอ  ไม่เกียจคร้านต่อการปฏิบัติธรรม  เฝ้าพิจารณาดูกายดูจิตของตน  เพื่อให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์แห่งจิตคือ มรรค  ผล  นิพพานในที่สุด  สาธุ ขออนุโมทนากับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทุก ๆองค์ด้วยเทอญ 
พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๑๘  ส.ค. ๕๓

              โยมปุ้มได้กลับจากไปทำธุระที่จ.นครราชสีมา  ในเช้าวันนี้โดยมีโยมสิริรัญญานำรถมาส่งที่วัด  โยมสิริรัญญาเป็นผู้มีความรู้ในเรื่องของการทำขนมหลายชนิด  ในวันนี้โยมปุ้มได้อุปกรณ์การทำท๊อฟฟี่กระทิสดมา ๑ ชุด ในตอนบ่ายจึงได้ลงมือทำเพื่อเป็นการทดลองจะได้นำไปสอนเป็นความรู้แก่เด็กนักเรียน และสามารถทำได้สำเร็จเป็นอย่างดี   โยมสิริรัญญาเล่าให้ฟังว่าขนมประเภทนี้กว่าจะได้มาต้องทำการทดลองหลายครั้ง   จนได้สูตรการทำที่ดีและอร่อย  จึงได้นำครามรู้อันนี้มาบอกเป็นวิทยาทาน
               จะเห็นได้ว่าความรู้บางอย่าง  กว่าที่จะได้มาก็แสนยาก  การได้วิชาความรู้จากผู้รู้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ  เช่นเดียวกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  นอกจากจะใฝ่รู้แล้ว  ต้องรู้และปฏิบัติให้ถึงเนื้อธรรมที่พระองค์ทรงตรัสและสั่งสอนไว้ด้วย  เป็นการปฏิบัติที่ทวนต่อกระแสโลก  เพื่อที่จะได้อยู่เหนือโลก ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๑๙  ส.ค. ๕๓

            ถ้านึกถึงธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนแล้ว  บางคนก็ท้อใจว่าเป็นเรื่องที่แสนยากเหลือเกิน  เพราะความอยากได้ อยากมี อยากเป็น  แต่พระองค์ทรงสอนให้อยู่กับปัจจุบัน  ไม่ให้อยู่กับอดีตและอนาคต  ถ้ามีสติคิดได้เช่นนี้  คำสั่งสอนของพระพุทธองค์จึงเป็นสิ่งที่ไม่เหลือวิสัยของผู้มีความเพียรพึงกระทำได้  เพราะมีความเพียรรู้ดูอยู่กับปัจจุบัน  เรามีหน้าที่ดูอยู่เช่นนี้  ส่วนเรื่องมรรคผลที่จะได้นั้น  เป็นเรื่องของธรรมชาติที่จะให้  เมื่อถึงเวลาและโอกาสอันเหมาะสม  ครูบาอาจารย์ท่านได้กล่าวไว้ว่า  มรรค  ผล  นิพพาน  จะได้ก็ต่อเมื่อเราสิ้นความอยากเสียก่อน  แต่ต้องมีความเพียรต่อการเฝ้าดูเฝ้ารู้ในกายและจิตของเราอยู่ตลอดเวลา  ถ้าทำได้เช่นนี้เราจะมีความบันเทิงในธรรมเป็นอย่างยิ่ง      เพราะทำที่ฝึกอบรมดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้
พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน   ๒๐  ส.ค. ๕๓

 

 
อย่ามองสิ่งที่เราคิดว่าไร้ค่า ว่าเป็นของไม่มีค่า เพราะสิ่งของบางอย่างอาจจะเป็นของที่มีค่าสำหรับเรา วัดพระพุทธบาทตะเมาะอาศัยอยู่กลางป่าที่ให้คุณค่ากับชีวิตของผู้ปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง ในหน้าฝนจะมีเห็ดและยอดไม้ให้เป็นอาหาร ในหน้าแล้งมีฝักหวานป่าที่มีรสชาติอร่อย พื้นที่โดยรอบเป็นสถานที่เหมาะสมในการปฏิบัตธรรม สิ่งที่หลายคนคิดว่าน่ากลัว แต่กลับเป็นสิ่งที่น่ายินดี สำหรับผู้ที่ต้องการแสวงหาความพ้นทุกข์เป็นอย่างยิ่ง
 
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน   ๒๑ ส.ค. ๕๓
 
 
 
การแก้ปัญหาต่าง ๆบางครั้งยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้ปัญหานั้นมีควมยุ่งยากมากยิ่งขึ้น เพราะความที่จิตของเราไม่สงบ เนื่องจากมีการแก้ปัญหาที่ประกอบด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ปัญหาบางอย่างถ้าเราคิดหาทางแก้ไขไม่ได้ในขณะนั้น   ให้เราปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นไปเสียก่อน แล้วมาเฝ้าดูกายดูจิตของเราด้วยความเป็นกลาง ปัญหาต่าง ๆจะคลี่คลายไปด้วยความคิดที่ประกอบด้วยความสงบของเราเอง เป็นความคิดที่ประกอบด้วยความเมตตาทั้งต่อตนเองและบุคคลอื่น ปัญหาต่าง ๆสามารถที่จะแก้ไขไปได้ด้วยดี ได้เคยทำเช่นนี้มาโดยตลอด แม้ปัญหาและอุปสรรคจะยุ่งยากเพียงไร ก็สามารถที่จะผ่านอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ด้วยดีเสมอมา ดังนั้นการทำความเพียรในจิตของเราจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง
 
 
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน   ๒๙ ส.ค. ๕๓
 
 
 
การที่คนเราตรากตรำทำงานหนักมาทั้งวัน ถ้าไม่รู้จักการพักจิตใจของตนให้เข้าสู่ความสงบ จะทำให้ จิตของเราฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ หาความสงบที่แท้จริงไม่ได้เลย แต่ถ้าเรารู้จักพักจิตของเราโดยการนั่งดูความรู้สึกของเราอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องไปปรุ่งแต่งเรื่องใด ๆทั้งสิ้น ปล่อยให้จิตของเราเข้าไปสู่ความเป็นกลาง จะทำให้จิตของเราเข้าไปสู่ความสงบเป็นลำดับ จิตจะมีพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทำเช่นนี้บ่อย ๆ จะทำให้เรามีสติในการทำกิจการงานต่าง ๆ ความผิดพลาดจะมีน้อยลง จะมีความสุขในกิจการงานที่ทำ ดังนั้นการพักจิตใจของเราในแต่ละวันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง
 
 
 พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน   ๓๐ ส.ค. ๕๓
 
 
จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้ การทำความดีนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่การรักษาความดีที่ได้ทำไว้แล้วนั้นมีความยากลำบากหลายเท่านัก ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่มุ่งหวังปรารถนาความสุขอันเกิดจากความสงบ เมื่อความสงบไม่เกิดขึ้น ก็คิดว่าตนเองไม่มีวาสนาบารมีเกิดความท้อแท้ในการปฏิบัติ เลิกการทำความดีไปก็มี โดยเนื้อแท้นั้นการปฏิบัติธรรมในที่สุดจะได้รับผลคือความสุข แต่เมื่อปฏิบัติยังไม่ถึงที่ ย่อมได้รับความสุขและความทุกข์ในจิตใจอยู่ตลอดเวลา จึงต้องมีความอดทนอดกลั้นในการทำความดีนี้ตลอดไป
 
 
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน   ๗ ก.ย. ๕๓
 
อาตมาเองเมื่อปฏิบัติในระยะแรก ๆ ก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายท้อแท้ใจ แต่ก็มีศรัทธาอย่างไม่คลอนแคลนเพราะเคยได้รับผลคือความสุขความสงบตั้งแต่สมัยปฏิบัติธรรมในครั้งแรก ๆ ผลของการ
ปฏิบัตินี่แหละเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ในการหล่อเลี้ยงศรัทธาให้เกิดขึ้น แต่ผู้ที่ยังทำไม่ได้ก็อย่าท้อใจ จงหาอุบายและวิธีการให้ถูกกับจริตของตนเอง ค่อย ๆพิจารณาและทำไปเรื่อย ๆ สักวันหนึ่งคง
จะได้รับความสงบสุขอันเกิดจากการปฏิบัติอย่างแน่นอน ถ้าไม่ละทิ้งความเพียรในท่ามกลางเสียก่อน
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน   ๘ ก.ย. ๕๓
 
 
ได้มีโอกาสฟังปฏิปทาของครูบาอาจารย์ ที่ท่านทำความเพียรอย่างหนัก แล้วท่านก็ได้รับผลจากการปฏิบัติ ได้มาพิจารณาตนเองว่า เราก็มีศรัทธาในศาสนาแต่ก็ไม่ทำความเพียรหนักเหมือนท่านเหล่านั้น ปฏิบัติไม่กี่ครั้งก็ได้รับความปิติสุขในจิต และก็มีความศรัทธาในธรรมของพระองค์ท่านตลอดมา จะเห็นว่าวาสนาบารมีของผู้ปฏิบัตินั้นไม่เหมือนกัน จงเอาเยี่ยงคือความดีของผู้ทำความดี แต่บางครั้งอย่าไปเอาอย่างที่ท่านทำ   เพราะจริตนิสัยของแต่ละคนนั้นย่อมไม่เหมือนกัน 
 
จงทำอะไรให้พอดีกับจริตนิสัยของตนเอง จะได้มีความงามในเบื้องต้น ในท่ามกลาง และในที่สุด
 
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน   ๙ ก.ย. ๕๓
 
ได้มีโอกาสอ่านคำปรารภ ของ ดร.ซาซากิ ที่พระอาจารย์ทาคาสิ มหาปุญฺโญ แปลเป็นภาษาไทย
จึงได้ทราบว่าพระสงฆ์ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ได้สูญหายจากประเทศญี่ปุ่นประมาณ ๑๒๐๐ ปีมาแล้ว เนื่องด้วยเหตุผลทางการเมืองของประเทศญี่ปุ่นเอง พระทาคาสิ ได้แปลพระไตรปาฏิโมกข์เป็นภาษาญี่ปุ่นเพื่อเผยแพร่ให้ชาวญี่ปุ่นได้รับทราบว่า พระสงฆ์ที่แท้นั้นควรจะปฏิบัติตนเช่นไร เพื่อที่จะได้มีผู้ที่ศรัทธาบวชเป็นพระสงฆ์เพิ่มมากขึ้นในอนาคต เพราะในปัจจุบันพระสงฆ์ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องของพระธรรมวินัย ได้ถือตามครูบาอาจารย์สืบ ๆต่อกันมา ทั้งที่ชาวญี่ปุ่นเองเป็นผู้ที่มีความตั้งใจทำความดีตามหน้าที่ของตน   จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่พระศาสนาในฝ่ายเถรวาท จะไปเจริญรุ่งเรืองในประเทศญี่ปุ่นอีกครั้งหนึ่ง พวกเราชาวไทยควรที่จะมีความยินดีที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินไทย ที่สมบูรณ์ด้วยพระรัตนตรัยให้เราได้กราบไหว้บูชาและปฏิบัติตาม แต่ควรที่จะเลือกปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องดีงามด้วย
 
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน   ๑๐ ก.ย. ๕๓
 
 
อาตมาเองเป็นผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนามาหลายสิบปี แต่การที่จะรู้จักแก่นแท้ของพระพุทธศาสนานั้น เราต้องลงมือปฏิบัติด้วยตัวของเราเอง ให้ความรู้ความเข้าใจเกิดขึ้นมาใน
 
ใจของเรา ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้โดยการลูบคลำแต่เพียงอย่างเดียว พระพุทธศาสนาจึงเป็นสิ่งที่จะรู้ได้ด้วยตัวของเราเอง ใครทำคนนั้นจึงจะรู้เห็นด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ยากที่จะให้ชนทั้งหลาย ได้เข้าใจแต่เพียงความคิดเท่านั้น ด้งนั้นชาวพุทธทั้งหลายจึงควรสร้างศรัทธาให้มั่นคง
 
ในใจของเราเอง อย่าท้อถอยในการสร้างความดีทำความดี เพื่อสันติสุขที่แท้จริงตลอดไป
 
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน   ๑๑ ก.ย. ๕๓
 
โยมได้ปรารภให้ฟังว่า น้องสาวของตนเองมีอาการป่วยทางจิต ต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลขอให้ช่วยภาวนาแผ่เมตตาให้ด้วย เมื่อได้รับทราบแล้วคิดดูก็น่าสงสารเพราะคนเราที่เกิดมาทุกคนไม่มีใครสักคนเดียวที่อยากป่วย แต่ทุกคนที่เกิดมานั้นมีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ใครทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่วต้องได้รับผลของกรรมนั้นอย่างแน่นอน การที่จะทำให้คนเรามีความสุขสบายได้นั้น ด้วยการปฏิบัติธรรมตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น อย่างอื่นไม่มีเลย
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน   ๑๒ ก.ย. ๕๓
 
 
โยมปุ้มได้มาปฏิบัติธรรมที่วัดในพรรษานี้ ได้ช่วยกิจการของวัดหลายอย่าง ทั้งการทำความสะอาด ทำกับข้าวเมื่อแม่ครัวไม่สบาย อีกอย่างหนึ่งที่ทำคือ ทำขนมท๊อฟฟี่กะทิสด ได้ทดลองทำอยู่หลายครั้ง จึงได้สูตรการทำที่ดี หวาน มัน อร่อย และได้มีโอกาสเผยแพร่ให้ชนทั้งหลายนำไปประกอบเป็นอาชีพต่อไป 
 
                จะเห็นได้ว่าการทำอะไรก็ต้องทำจริง อย่าละความเพียรในระหว่างทาง จนลุถึงจุดมุ่งหมายที่ได้ตั้งใจไว้ แม้นงานบางอย่างจะทำไม่สำเร็จ แต่เราก็ได้ความเพียรความอดทน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งนัก
 
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน   ๑๓ ก.ย. ๕๓
 
เมื่อได้ทำการเจริญสติอยู่ตลอดเวลา    ผลของการปฏิบัติที่จะได้รับคือความสุขความสงบ  ในระยะนี้อาตมามีความสุขตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน เฝ้าดูกายดูจิตของตนเอง ดูว่าอะไรบ้างที่จิตของเราเข้าไปผูกพัน เมื่อเห็นความผูกพันที่เกิดขึ้นในจิต ก็ละปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นเสีย วางได้ใจก็สบายอย่างบอกไม่ถูก ไม่เห็นงานอื่นที่จะสำคัญเท่ากับงานนี้อีกแล้ว เพราะสามารถหาที่พึ่งได้ในใจของเราเอง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน   ๑๕ ก.ย. ๕๓
 
 
เมื่อมีอุปสรรคต่าง ๆ เกิดขึ้น พยายามตั้งสติไว้ให้ดี พินิจพิจารณาดูด้วยเหตุผล ค่อยแก้ปัญหานั้นๆไป การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดได้แก่การทำจิตให้ปล่อยวาง เมื่อถึงความสงบปัญหาต่าง ๆจะคลี่คลายไปเอง ได้ทำเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว จึงมีความมั่นใจว่าธรรมที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆได้ด้วยดีตลอดไป
 
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน   ๑๙ ก.ย. ๕๓
 
พระทาคาสิฯ พระภิกษุชาวญี่ปุ่น ได้ไปติดต่อที่กองตรวจคนเข้าเมือง จ.เชียงใหม่ ได้นำพาสปอร์ตของพระฮิเดยูกิ ไปให้เจ้าหน้าที่ดู ปรากฏกว่าเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบดูแล้ว วีซ่าหมดการต่อไปจำนวน ๓๓ วัน ต้องถูกปรับวันละ ๕๐๐ บาท ขอลดหย่อนอย่างไรก็ไม่ได้ จึงได้นำพาสปอร์ต ไปให้อาตามาดูที่วัดในตอนเย็น อาตมาได้ตรวจสอบดูปรากฏว่าวีซ่าได้ต่อแล้ว และต้องไปรายงานทุก ๓ เดือนในวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๓ คงจะไม่ต้องถูกปรับ เพราะเจ้าหน้าที่ดูผิดเอง
      จะเห็นได้ว่าความผิดพลาดนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เจ้าหน้าที่คงจะตำหนิติเตียนพระฮิเดยุกิเพราะไม่ไปต่อวีซ่าตามกำหนด แต่ถ้ารู้ว่าตนเองเป็นฝ่ายผิดที่ดูไม่ทั่วถึงเอง แล้วคราวนี้จะโทษตนเองหรือเปล่าก็ไม่รู้
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน   ๒๐  ก.ย. ๕๓
 
 
ในระยะนี้มีการนำพระธรรมมาเผยแพร่ในรูปแบบต่าง ๆ และมีการขัดแย้งกันระหว่างสำนักต่าง ๆ มีการออกมากล่าวโต้แย้งซึ่งกันและกันในสื่อต่าง ๆอย่างมากมาย คงจะยากสำหรับมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่จะรู้ว่าใครถูกใครผิด อาตมาเองมีความสับสนในการปฏิบัติที่จะสอดคล้องกับปริยัติอยู่หลายปี ได้มากระจ่างเมื่อได้มีโอกาสศึกษาธรรมะที่หลวงเทศก์ เทสรํสี ที่ท่านได้รวบรวมไว้ ทำให้ทราบแนวปฏิบัติที่ไม่สับสนว่าเราควรทำอย่างไร เพื่อจุดมุ่งหมายคือมรรคผลนิพพาน
 
                หลวงปู่ได้กล่าวไว้ว่า การทำฌาน(ได้แก่ฌาน ๑ ถึงฌาน ๔) ผลที่ได้คือภวังค์ ปัญญารู้เห็นธรรมตามความเป็นจริงจะไม่เกิด เช่นพวกฤษีที่ปฏิบัติกันอยู่ก่อนพระพุทธองค์จะตรัสรู้เป็นต้น
 
                อีกอย่างหนึ่งการทำสมาธิผลก็คือสมาธิ ที่ประกอบด้วยสติ(ความระลึกได้) และสัมปชัญญะ(ความรู้ตัวทั่วพร้อม) สามารถปฏิบัติเข้าสู่มรรคผลนิพพานได้ ผู้สนใจสามารถค้นคว้ารายละเอียดต่าง ๆได้ 
 
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๗   ก.ย. ๕๓
 
                อาตมาปฏิบัติธรรมมาประมาณ ๓๐ ปี มีความเห็นว่าการทำสมาธิเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด เพราะการที่จะตัดกิเลสอย่างละเอียดได้นั้น ต้องปฏิบัติให้ได้อัปปนาสมาธิ เพื่อให้จิตมีกำลังที่จะพิจารณาธรรมได้ ถ้ากำลังของสมาธิไม่พอไม่สามารถจะตัดกิเลสที่ละเอียดได้เลย ยิ่งปฏิบัติมีความเพียรอยู่ตลอดเวลา ยิ่งสามารถหาที่พึ่งได้ในใจของเราเอง เป็นสิ่งรู้ได้เฉพาะตนต้องลงมือปฏิบัติอย่างเดียวเท่านั้นจึงสามารถจะรู้สิ่งเหล่านี้ได้
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๘   ก.ย. ๕๓
 
 
        คนเราในยุคนี้ที่โลกกำลังเจริญทางด้านวัตถุเป็นอย่างมาก คนส่วนใหญ่อยากได้อะไรเร็ว ๆ
 
แต่ธรรมะเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความอยากของมนุษย์เสมอ ยิ่งอยากได้ก็ยิ่งไม่ได้ ถ้าใครบอกว่าธรรมะเป็นของง่าย เป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจสำหรับผู้ที่มีความอยาก ซึ่งเป็นความต้องการของผู้มีกิเลสทั้งหลาย  แต่การปฏิบัตินั้นย่อมไม่ได้รับผลตามที่ตนปรารถนา ถ้าตนเองนั้นเป็นผู้ย่อหย่อนต่อความเพียรในการทำความดี การคบกับกัลยาณมิตรผู้เป็นบัณฑิตย่อมเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะได้แนะนำเราให้เป็นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ได้รับผลของการปฏิบัติตามอำนาจวาสนาบารมีของตน
 
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๙   ก.ย. ๕๓
 
พระฮิเดยุกิ ฐานวโร มักเรียกท่านว่าพระฮุคุย ซึ่งเป็นนามสกุลของท่าน ได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อวันที่ ๑๗ ก.ย.ที่ผ่านมา เมื่อท่านเดินไปปฏิบัติธรรมบนยอดเขา โดยปกติท่านจะไม่ใส่รองเท้า ในวันนั้นท่านได้เดินไปเหยียบงูเห่าในระหว่าง โชคดีที่งูเห่าตัวนั้นไม่ทำอันตรายแต่ประการใด จะเห็นได้ว่าอำนาจของธรรมนั้น ย่อมคุ้มครองผู้ที่ประพฤติธรรมอยู่เสมอ อานิสงส์ของการเจริญเมตตา ย่อมทำให้ผู้นั้นมีความสงบสุข ด้วยอำนาจแห่งเมตตาที่มีอยู่ในตนเองตลอดไป
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน   ๓๐ ก.ย. ๕๓
 
 
 
พระทาคาสิ มหาปุญโญ พระภิกษุชาวญี่ปุ่น เป็นผู้มีความสมใจในการปฏิบัติธรรมผู้หนึ่ง ท่านหาอุบายต่าง ๆในการละกิเลสของตน ในระยะนี้คือตั้งแต่วันที่  ๒๕ ก.ย. ๕๓ ถึงวันที่ ๔ ก.ย.๕๓ ท่านตั้งสัจจะที่จะอดอาหารเป็นเวลา ๑๐ วัน เพื่อต้องการให้เห็นเวทนาที่เกิดขึ้น เป็นอุบายธรรมในอันที่จะละกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิตของตนเองให้ลดน้อยลงไป  
 
                จะเห็นได้ว่าคนเราที่ต้องการความดี ต้องมีความเพียรในการสร้างความดีอยู่ตลอดเวลา ไม่ย่อหย่อนต่อการทำความดี สักวันหนึ่งจะต้องถึงจุดมุ่งหลายคือ มรรค ผล นิพพานอย่างแน่นอน
 
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน   ๑ ต.ค. ๕๓
 
พระทาคาสิ พระภิกษุชาวญี่ปุ่นได้เริ่มมีสภาพที่อิดโรย หลังจากที่อดอาหารได้ ๑๐ วัน เนื่องด้วยอายุที่ย่างเข้าวัย ๖๐ ปี และเริ่มฉันภัตตาหารในวันที่ ๖ ต.ค. ๕๓ อาตมาเองก็เคยอดอาหารเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๕ อดได้จำนวน ๘ วัน ตอนนั้นอยู่ได้ ๒๗ ปี ได้มาอดที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะแห่งนี้ ทั้งนี้เนื่องมาจาก หลวงพ่อครูบาวงศ์ให้อาตมาอดอาหารเมื่อปีแรกที่อุปสมบทคือปี พ.ศ.๒๕๒๔ อดได้ ๓ วัน ตอนนั้นดีใจมาก จึงได้ไปกราบเรียนหลวงพ่อ ท่านไม่ชมอาตมาแต่พูดตอบอาตมาว่า “พระภิกษุที่อดอาหารได้ ๗ วัน เขายังสึกได้เหมือนกัน อาตมาจึงตั้งใจว่าถ้าอดอาหารครั้งต่อไป ต้องอดให้เกิน ๗ วัน ให้จงได้ หลังจากที่อดได้ ๘ วัน เมื่อมีโอกาสไปกราบหลวงพ่อ ดีนะที่ไม่ตาย ฉะนั้นการอดอาหารนั้นต้องดูกำลังของตนเอง ว่าเรามีกำลังความสามารถแค่ไหน เพื่อเป็นอุบายธรรมในการปฏิบัติที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๖  ต.ค. ๕๓
 
 
โยมแมวและโยมเล็ก เป็นพี่น้องกัน ได้รู้จักโยมทั้งสองกว่า ๒๐ ปีมาแล้ว โยมแมวได้ปรึกษาว่า ตนเองนั้นโกรธผู้ชายคนหนึ่ง ที่นำเรื่องไม่จริงไปว่าตนเองให้มีความเสียหายและได้ตอบโต้โยมคนนี้โดยการนำเรื่องต่าง ๆ ไปบอกให้กับคนที่เขารู้จัก ความเร่าร้อนได้เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก จึงได้ปรึกษาว่าควรทำอย่างไรดี ควรจะตอบโต้คน ๆนี้ให้สมกับความแค้นได้ไหม จึงได้ตอบไปว่า คนเรานั้นต้องรู้จักคำว่า ขันติ(ความอดกลั้น) และโสรัจจะ(ความสงบเสงี่ยม) ซึ่งเป็นธรรมที่ทำให้เป็นคนงาม เราอาจจะพูดจริงแต่พูดด้วยโทสะ เรื่องก็จะไม่จบลงง่าย ๆอย่างแน่นอน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงตรัสว่า “เมื่อถึงคราวที่มีความทะเลาะและบาดหมางน้ำใจกัน บุคคลที่สงบได้ก่อน คือผู้ที่ฝึกอบรมมาดีแล้ว”   โยมเมื่อได้ฟังจึงได้ข้อคิด ทำให้จิตใจสงบลง และคิดว่าจะไม่ตอบโต้ในเรื่องนี้อีกต่อไป คนเรานั้นเมื่อถึงเวลาที่ผงเข้าตาตนเอง ต้องอาศัยคนอื่นให้ช่วยนำผงนั้นออกมา การคบกับกัลยาณมิตรจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เมื่อถึงคราวเรามีปัญหาจะได้ช่วยเป็นกระจกส่องเงาให้เราได้
 
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๖ ต.ค. ๕๓
 
พระมหาธนิต ฯ ได้พาโยมจากบริษัทนิ่มซี่เซ็ง มาพบอาตมา เพราะต้องการมาดูสถานที่และจะจัดโครงการอุปสมบทพนักงานในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งได้จัด ๒ ปีมาแล้ว โยมคนนี้ได้เล่าให้ฟังว่า การจัดทำโครงการนี้เป็นสิ่งที่ดีต่อผู้อุปสมบท ต่อครอบครัว และบริษัท เพราะพระธรรมย่อมหล่อหลอมจิตใจคนให้เป็นคนดี ทางบริษัทมีความปรารถนาที่จะจัดการบริหารกิจการแบบชาวพุทธ ดังเช่นตัวอย่างของการอุปสมบทที่ผ่านมา มีผู้อุปสมบทท่านหนึ่งเป็นผู้ที่มีความบาดหมางกับผู้เป็นมารดาตลอดมา หลังจากที่ได้อุปสมบทไปแล้ว มีอุปนิสัยได้เปลี่ยนไปในทางที่ดี มีความอ่อนน้อมต่อผู้มีพระคุณ พี่สาวของผู้อุปสมบทซึ่งอยู่ต่างประเทศ ได้เขียนจดหมายไปถึงบริษัท เล่าเรื่องสิ่งที่ดีงามให้ทราบและขอบคุณโครงการที่ดีที่บริษัทได้ทำเช่นนี้ ดังนั้นพระธรรมจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในชีวิตของเรา เพราะเกิดจากปัญญาของ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ของพระพุทธองค์นั่นเอง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๐ ต.ค. ๕๓
 
 
โยมแกะและคณะได้เดินทางมาจากชลบุรี เพื่อถวายผ้าป่าสังฆทานที่วัดในตอนบ่ายวันนี้ อาตมาได้มีโอกาสสอบถามว่ารู้จักวัดพระพุทธบาทตะเมาะได้อย่างไร โยมได้เล่าให้ฟังว่า มีเทวดาที่อยู่วัดนี้ไปเข้าร่างโยมคนหนึ่ง ได้พูดขอให้ไปทำบุญที่วัด โยมแกะและคณะจึงได้มาหาวัดตามที่ตนเองรับทราบ และได้มาพบวัดนี้ด้วยความตั้งใจ จึงได้พาญาติโยมไปทำบุญเสมอมา เรื่องที่เหล่านี้โยมเขาเล่าให้ฟัง จริงเท็จอย่างไรก็ขอให้ใช้ปัญญาพิจารณาตามความเชื่อของตนเอง เรื่องการเข้าสิงร่างหรือเข้าทรงนั้น หลวงพ่อครูบาวงศ์ท่านบอกว่ามีจริง แต่เทวดาชั้นสูง ๆ ไม่ค่อยลงมา ส่วนมากจะเป็นสัมภเวสีเข้ามาแอบอ้างไปต่าง ๆนา ๆ พวกนี้ส่วนมากจะรู้อดีตและปัจจุบัน แต่อนาคตนั้นยังไม่แน่นอน เราควรที่จะสร้างศรัทธาในพระรัตนตรัยนั้นเป็นการเพียงพอแล้ว เพราะสามารถเป็นที่พึ่งที่แท้จริงให้กับเราได้
 
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๑ ต.ค. ๕๓
 
 
คำสั่งสอนของพระพุทธองค์นั้นมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด ๆในโลกนี้ พระองค์ทรงสั่งสอนให้ค้นหาทรัพย์ภายใน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะพระสงฆ์ผู้บวชเข้ามาในพระศาสนานี้ สมควรที่จะตระหนักถึงคำสั่งสอนของพระพุทธองค์   มิใช่บวชเข้ามาเพื่อหวังลาภสักการะ หรือคำสรรเสริญ แต่บวชเข้ามาเพื่อมุ่งหวังความพ้นทุกข์ เพื่อสันติสุขที่แท้จริง ชาวพุทธต้องศึกษาในพระสัทธรรม อย่ายึดถือบุคคลใดเป็นที่พึ่ง นอกจากพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ดีแล้ว
 
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๒ ต.ค. ๕๓
 
  
 
โยมโอภาสได้มาเยี่ยมที่วัดในเย็นวันนี้ รู้จักกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ได้เล่าให้ฟังว่าตนเองมีอาชีพค้าขายยาสมุนไพร ซึ่งเป็นสูตรที่ครูบาวงศ์มอบให้ เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว โยมเป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นในครูบาวงศ์เป็นอย่างยิ่ง อาตมาเองใกล้ชิดครูบาวงศ์มาหลายปี แต่ก็ไม่เคยได้รับสูตรยาจากท่านเลย เคยสอบถามท่านอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านบอกมา ๑ สูตร แต่นำไปใช้ไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควร จะเห็นได้ว่าความศรัทธานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ โยมบอกว่ายานี้กว่าจะทำสำเร็จนั้นใช้เวลาหลายปี ยาบางตัวหายากต้องจ้างปลูกในราคาที่แพงจึงได้ตัวยานั้นมา ผู้ที่ประสบความสำเร็จในกิจการใด ย่อมทราบดีว่า ความสำเร็จนั้นมิได้ได้มาด้วยความสุขสบายเลย ความสำเร็จที่ได้รับต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะเป็นอย่างยิ่ง
 
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๖ ต.ค. ๕๓
 
 
ครูบาวงศ์ท่านมีวิธีการสอบลูกศิษย์ที่แตกต่างกันออกไป คำสอนของท่านนั้นส่วนมากต้องเก็บเอาไปคิดพิจารณาจึงจะคิดออกบางอย่างก็คิดไม่ออก บางครั้งท่านสอนโดยการทำให้ดู บางครั้งท่านจะพูดให้เราไม่พอใจด้วยอุบายวิธีต่าง ๆ อาตมาเองถูกท่านทดสอบหลายครั้ง จนในที่สุดท่านกล่าวกับอาตมาว่า อาตมาสามารถตายแทนท่านได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่อาตมาภูมิใจที่ได้เป็นศิษย์ของท่าน เมื่อสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ มีศิษย์ท่านบางคนนำเรื่องที่ไม่เป็นจริงไปกล่าวว่าอาตมาต่าง ๆ นานา ครูบางวงศ์ท่านทราบเรื่องเป็นอย่างดี ท่านกล่าวกับอาตมาว่า เรื่องต่าง ๆ นั้นท่านรู้เป็นอย่างดีว่าใครเป็นเช่นไร แต่ทั้งที่รู้ท่านไม่อาจที่จะพูดได้   ซึ่งเป็นความรอบคอบ และมองกาลไกลของครูบาอาจารย์ว่า ในสภาวะที่เกิดความแตกร้าวนั้นท่านควรทำเช่นไร จึงจะทำให้ศรัทธาของชนทั้งหลายไม่ตกต่ำลงไป
 
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๗ ต.ค. ๕๓
 
 
เมื่อสมัยที่อยู่กับครูบาวงศ์ ท่านเคยให้อาตมาไปบอกบุญญาติโยมที่ไปทำบุญที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อาตมาได้ไปบอกบุญญาติโยม ได้เงินมาจำนวนหนึ่ง ในวันนั้นนั่นเองท่านให้ไปบอกบุญเกี่ยวกับงานบุญอีกอย่างหนึ่ง อาตมาได้ไปตามที่ท่านบอก ได้ปัจจัยมาน้อยกว่าครั้งแรก ในวันนั้นอีกเช่นกัน ท่านให้ไปบอกบุญอีกอย่างหนึ่ง อาตมาได้ไปตามที่ท่านบอก คราวนั้นได้ปัจจัยน้อยมาก ทำให้อาตมามาพิจารณาว่า การที่เราจะทำอะไร สมควรที่จะพิจารณาถึงกำลังของตนเอง ว่าสมควรหรือไม่กับกำลังของตนเองและบุญคนอื่น ไม่ใช่ว่าครูบาอาจารย์ว่าเช่นไร ต้องทำตามนั้น อาตมาคิดว่าการที่ท่านให้ทำเช่นนี้นั้น ท่านสอนให้เรารู้จักการประมาณตนเอง ในความเหมาะสมในกิจการต่าง ๆที่จะต้องทำ
 
พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน ๒๘ ต.ค. ๕๓
 
ครั้งหนึ่งมีคนส่งของทางไปรษณีย์ไปถึงท่านที่วัด ท่านได้นั่งลงแกะกล่องด้วยความอุตสาหะพยายาม สมัยนั้นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ใช้ครั่งเป็นยางไม้เหนียวติดที่เชือกบนกล่อง อาตมานั่งดูด้วยความหงุดหงิดใจเพราะความคิดในขณะนั้นว่า ทำไมท่านถึงไม่ใช้มีดตัดเสีย จะได้มีเวลาไปทำธุระอย่างอื่นได้ อาตมาจึงได้กราบเรียนท่านตามที่คิด ท่านเมตตาสั่งสอนว่า การทำเช่นนี้นั้นเป็นการฝึกตนเองให้เกิดความอดทน การจะทำงานที่ยิ่งใหญ่ให้เกิดความสำเร็จได้นั้น ต้องเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ เสียก่อน ต้องมีความอดทนและอดกลั่นเป็นอย่างมาก ในการทำกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งให้สำเร็จลงไปได้
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๙ ต.ค. ๕๓
 
 
สมัยแรก ๆที่อยุ่กับครูบาวงศ์ ท่านได้มีการจัดทำงานตานใช้ตานแทน หรืองานชำระหนี้สงฆ์ ในงานนั้นอาตมาได้ช่วยท่านอย่างเต็มที่ เมื่องานใกล้จะมาถึง งานที่ท่านจะต้องทำยังค้างอยู่อีกมาก อาตมาจึงได้กราบเรียนท่านว่า   งานที่ต้องทำยังค้างอะไรอยู่อีกบ้าง ได้จดดูมีอยู่กว่าสิบรายการ อาตมาจึงได้พากะเหรี่ยงทำจนงานต่าง ๆสำเร็จไปได้ด้วยดี และมีอยู่งานหนึ่งได้แก่การจัดอาสนะที่นั่งของพระสงฆ์ ว่าไม่ควรจะแยกกัน เพราะมีกำแพงกั้นห้อง ควรจะนำมาจัดอยู่ในที่เดียวกัน ได้กราบเรียน ครั้งที่หนึ่ง และครั้งที่สอง ท่านยังยืนยันว่าต้องการทำเหมือนเดิม อาตมากลับมาพิจารณาดู เห็นว่าควรที่จะทำดังที่อาตมาคิดไว้ จึงได้กราบเรียนท่านอีกเป็นครั้งที่สาม คราวนี้ท่านพูดด้วยความไม่พอใจว่า จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ อาตมาจึงได้รีบทำตามความคิดนั้น งานทุกอย่างที่จัดทำ จึงสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี จะเห็นว่าการเคารพในครูบาอาจารย์นั้น   เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง การที่จะให้ครูบาอาจารย์ท่านเปลี่ยนความคิดในเรื่องบางอย่าง ต้องใช้อุบายที่แยบคาย ที่ทำลงไปด้วยความเคารพครูบาอาจารย์และต้องการให้สิ่งที่ทำออกมานั้น เป็นสิ่งที่ดีงาม ถ้าอาตมาเห็นว่าสิ่งที่อาตมาใคร่ครวญดูแล้วถูกต้องเหมาะสม หากท่านไม่อนุญาตให้ทำ อาตมาก็คงจะขอเป็นครั้งที่ สี่ ครั้งที่ห้า เรื่อยไปจนกว่าจะสำเร็จตามที่ได้คิดไว้ แต่จนนาทีสุดท้ายท่านต้องการจะทำเช่นนั้น ก็ต้องปล่อยไปตามท่านต้องการเพราะคิดว่าท่านใคร่ครวญดีแล้ว คงจะดีกว่าที่ตนเองคิดอย่งแน่นอน 
 
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๓๐ ต.ค. ๕๓
 
สมัยปีแรกที่อุปสมบทอยู่กับหลวงพ่อวงศ์ อาหารที่ฉันเป็นอาหารมังสะวิรัต มีคนทำอาหารถวาย ส่วนอาหารที่กะเหรี่ยงทำมาถวายนั้น อาตมาไม่ชอบฉันเลย มีอาหารชนิดหนึ่งเป็นข้าวต้มเละ ๆ เห็นแล้วทำให้ท้องไส้ปั่นป่วน เพราะดูแล้วเหมือนกับอุจจาระ เมื่ออยู่ได้ปีที่สอง ลองนำอาหารนั้นมาฉันดู ปรากฏว่ารสชาติอร่อยมาก ทำให้ความคิดเดิมเปลี่ยนไป ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า  การที่จะดูใครอย่าดูแต่ภายนอก ต้องดูให้ลึกซึ้งถึงภายใน และต้องดูกันไปนาน ๆว่าใครเป็นเช่นไร ความจริงต่าง ๆจะปรากฏออกมาให้เราเห็น เพราะกิเลสที่ซ่อนอยู่ภายมันจะแสดงออกมา   เป็นสิ่งที่ปิดบังกันไม่ได้เลย 
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๓๑ ต.ค. ๕๓
 
 
หลวงพ่อวงศ์ท่านสอนว่า   รูไม้ที่ตรงต้องใช้ของที่ตรงแทงเข้าไปจึงจะทะลุได้ ส่วนรูที่คดไปมาต้องใช้ของที่คดแทงเข้าไปตามความคดของไม้จึงจะทะลุได้ เช่นเดียวกัน คำพูดของเรา ถ้าพูดกับคนตรงคนซื่อสัตย์ ควรพูดความจริง แต่ถ้าพูดกับคนคดในข้องอในกระดูก ถ้าเห็นว่าการพูดความจริง  คนเหล่านนี้คงรับไม่ได้ สมควรที่จะหาอุบายพูดให้ถูกกับจริตนิสัยของเขา ดังนั้นความจริงบางอย่างถ้าพูดไปแล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อน เราควรหลีกเลี่ยงคำพูดที่เป็นจริงนั้นเสีย หรือถ้าพูดไม่ได้ก็นิ่งเสียไม่ต้องพูดอะไร นั่นแหละจึงเป็นสิ่งที่ดีงาม
 
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑ พ.ย. ๕๓
 
หลวงพ่อวงศ์ท่านมักพูดเป็นคำกลอนสั่งสอนศิษย์เสมอว่า โอมกูจะลุกให้เหลียวหลังสามที โอมกูจะหนีให้เหลียวหลังสามเตื้อ(สามครั้ง) เพื่อเป็นการไม่ให้ลืมสิ่งของต่าง ๆของตนเอง ในวันหนึ่งท่านได้พูดกับคณะศิษย์ในทำนองเช่นนี้ พร้อมกับได้ลุกมองซ้าย  มองขวา แล้วท่านก็ได้เดินออกไป ปรากฏว่า ณ ที่นั้นนั่นเอง ท่านได้ลืมสิ่งของอย่างหนึ่งไว้ มีคนมาพบในภายหลังแล้วนำไปคืนให้ท่าน จะเห็นได้ว่าแม้เรื่องบางเรื่อง ได้พยายามคิดพิจารณาอย่างรอบครอบแล้วก็ตามที ก็ยังมีความผิดพลาดหลงลืมได้ ดั่งที่ครูบาอาจารย์มักเมตตาสั่งสอนอยู่เสมอว่า คนที่ทำอะไรไม่ผิดพลาด ได้แก่คือคนที่ไม่ทำอะไรเลยนั่นเอง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒ พ.ย. ๕๓
 
 
ได้มีโอกาสพาคณะพระภิกษุและญาติโยมไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย ระหว่างวันที่ ๒๕ พ.ย.- ๑๙ ธ.ค. ๕๓ ได้นั่งภาวนาและแต่งบทกลอนธรรมะ บริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์ สถานที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดังนี้
 
       ภาวนาความทุกข์เกิดในจิต          คำนึกคิดให้ปล่อยวางว่างจากใจ
ยิ่งอยากปล่อยแต่ความทุกข์นั้นเป็นไป    ปล่อยไม่ได้เพราะความอยากมากในตน
พยายามอย่างไรใจไม่โล่ง                  จิตไม่โปร่งด้วยพยายามอย่างมากล้น
ยิ่งพยายามยิ่งทุกข์แสนเหลือทน          มันวิ่งวนเพราะตัวเราไม่เข้าใจ
เมื่อรู้แล้วยอมรับในความวุ่น                ใจที่ขุ่นกลับดีเกินคาดไว้
      รู้ธรรมชาติความจริงที่เป็นไป         จิตสดใสใจเบิกบานตรงนั้นเอง
ภาวนาด้วยความอยากมากด้วยทุกข์     ปล่อยวางทุกอารมณ์จิตไม่ข่มเหง
ทุกข์ให้รู้สุขให้รู้อย่าทำเกร็ง               ไม่ต้องเคร่งจิตสบายใจเบิกบาน
ภาวนาจริงจริงเหมือนทำเล่น               นั่งก็เล่นเดินก็เล่นอยู่นานนาน
มีปิติเหลือล้นเมื่อถึงกาล                    สุขสราญจิตสุขสันต์ทุกวันไป
มีปิติมีสุขปลุกใจตื่น                          นั่งยืนเดินรักษาอารมณ์นั้นเอาไว้
ละปล่อยวางปัจจุบันนั้นแน่ไซร้             สิ่งใดใดไม่มีเปรียบเทียบพระธรรม
นั่งดูจิตปล่อยวางทุกอย่างสิ้น              แต่ได้ยินเสียงสวดมนต์อย่างเลิศล้ำ
มีผู้คนมากมายทุกเช้าค่ำ                    จิตดูจำสุขทุกข์หมายในใจเรา
จิตไปจับสิ่งใดให้ใจรู้                         ให้เป็นครูสอนอารมณ์ที่ดูเฝ้า
รู้สมมุติทุกอย่างให้ใจเบา                    เพ่งจิตเข้าปีติสุขตลอดไป
เมื่อเฝ้าดูคนหรือสัตว์นั้นสมมุติ             บริสุทธิ์มีสมมุติผูกเอาไว้
ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้อยู่ในใจ                  ทุกข์โทษภัยจะไม่เข้าเมื่อเฝ้าดู
9                ธันวาคม 2553 15.13 น.
 
มองภายนอกภายในสุขใสแท้       เฝ้าดูแต่ภายในใสเสมอ
ละกิเลสตัณหาที่พบเจอ                    มิพลั้งเผลอเมื่อเฝ้ามองจ้องที่ใจ
พระคุณเจ้าหญิงชายทั้งหลายหลาก     ตั้งใจมากภาวนาให้จิตใส
เฝ้าดูเพ่งเฝ้ารู้อยู่ภายใน                    กิจการใดทำได้น้อมใจทำ
นั่งสงบหลับตาสงบนิ่ง                      จิตมุ่งดิ่งใฝ่รู้ซึ่งพระธรรม
ศีล สมาธิ ปัญญาพาน้อมนำ               จิตดื่มด่ำธรรมสว่างกลางใจตน
เสียงสวดมนต์เสียงฆ้องก้องไปหมด     เฝ้ากำหนดภายในไม่สับสน
เมื่อยิ่งทำใจยิ่งสุขอย่างเปี่ยมล้น         หมู่ฝูงชนแสวงธรรมฉ่ำดวงใจ
                                                            10 ธันวาคม 2553 11.00 น.
 
แสนสุขใจจะหาใครที่ไหนเหมือน        พระธรรมเตือนให้ดูใจอยู่เสมอ
พระทิเบตนับพันร่วมกันเจอ                ต่างพรํ่าเพ้อเสนอธรรมชื่นฉ่ำใจ
กัมมาปะพระทิเบตผู้หัวหน้า               ร่วมนำพาสวดธรรมตามฝันใฝ่
มีฝรั่งต่างชาติมากมายไซร้                ร่วมกันได้บูชาธรรมพระสัมมา
เสียงพระสวดบ้างภาวนาหน้าพระแท่น มิเหมือนแม้นยากสิ่งใดจะใฝ่หา
บ้างจงกรมประทักษิณต่างต่างนา       นี่แหละหนาผู้มีธรรมประจำตน
อันพระธรรมเป็นเอกหาใดเปรียบ        หาใดเปรียบในโลกสุดวกวน
เพื่อมุ่งธรรมมุ่งแก้ไขอย่างเปี่ยมล้น     จิตหลุดพ้นจะเป็นได้ดั่งหมายปอง
นั่งภาวนาภาษาจิตอยู่เฉยเฉย           ใจเคยผูกสิ่งใดให้เศร้าหมอง
เมื่อรู้แล้วละ ปล่อย วาง ตามครรลอง  พระธรรมก้องส่องใจหายเศร้าตรม
จิตสว่างจิตสะอาดจิตสงบ                ถ้ามีครบทำให้จิตแสนสุขสม
มีปัจจุบันทุกขณะน่าชื่นชม                อภิรมย์บรมสุขตลอดไป
รู้สมมุติละสมมุติสุดล้ำเลิศ               สุดประเสริฐเพราะจิตใจคอยแก้ไข
สงบนิ่งย่อมรู้อยู่ภายใน                    ภาษาใดสู้ภาษาใจไม่มีเลย
                                                                        15 ธันวาคม 2553
 
   มาต้นโพธิ์กราบลงที่ตรงหน้า           มุ่งหมายว่าถวายองค์พระชินสีห์
ชนทั้งหลายหลายหลากมากทวี           ดวงใจนี้มอบพระองค์ผู้ทรงธรรม
ชนต่างชาติต่างภาษามาพร้อมกัน        จุดมุ่งมั่นทำความดีเพื่อน้อมนำ
ให้ความดีที่ตนได้กระทำ                   ให้ชื่นฉ่ำรสพระธรรมฉ่ำดวงใจ
รสอะไรไม่สู้ธรรมรส                         จิตใสสดธรรมรสช่างสดใส
เห็นภายนอกเห็นภายในที่เป็นไป         เกิดดับไซร้ใจสว่างว่างจากตน
อันตัวตนนั่งอยู่นี้คือตัวหรอก              ให้เรายอกย้อนถึงตัวมั่ววกวน
นั่นของเรานี่ของเขาช่างสับสน            มิหลุดพ้นกิเลสหลากมากราคี
ดูยิ่งลึกลึกยิ่งดูเพิ่มทวี                      ปล่อยถูกที่เบาสว่างว่างจริงจริง
อันความเบาเบาไม่ติดในสิ่งใด             ลึกลงไปดูกายใจในทุกสิ่ง
ปัจจัตตังย่อมรู้อยู่ในความนิ่ง               มิวุ่นวิ่งหาภายนอกหรอกตัวเอง
ธรรมนั้นลึกเหมือนทะเลค่อยราบเรียบ    ไม่สูงเสียบเหมือนเหวลึกที่คว้างเคว้ง
ยิ่งภาวนายิ่งพบสุขเหนือสุขเอง           ธรรมย่อมเปล่งเพ่งสว่างที่กลางใจ
                                                       16 ธันวาคม 2553 12.24 น.    
 
 
อาตมาได้รู้จักโยมคนหนึ่ง ท่าทางคำพูดคำจามีความสุภาพเป็นอย่างมาก แต่หน้าตาของโยมคนนี้ทำไมถึงไม่สดชื่น อาตมามีแต่ความสงสัยมาตลอด กาลผ่านไปจึงได้รู้ว่า โยมคนนี้มีจุดบกพร่องบางอย่าง ที่ทำจิตของตนเองนั้นเศร้าหมอง ทั้ง ๆที่รู้แต่ก็ไม่สามารถที่จะพูดความจริงให้ทราบได้ เพราะถ้าพูดไปอาจจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี
 
               ในความคิดที่ตนเองมีความอ่อนน้อม   แต่ก็มีความแข็งกระด้างในบางอารมณ์
 
               ในความคิดที่คิดว่าตนเองทำดี           แต่ก็มีความชั่วร้ายในบางอารมณ์ 
 
               ในความคิดที่ว่าตนเองมีความต้อยต่ำ แต่ก็มีความคิดว่าตนเองสูงศักด์ในบางอารมณ์
 
    ฉะนั้นจงระวังความคิดของตนเองให้มาก ๆ เพราะความคิดจะพาเราไปในสิ่งที่เราคิด ทั้งดีและไม่ดี จงนำพระสัทธรรมของพระองค์ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ จงหมั่นสำรวมระวังในความคิดและการกระทำของตน จงหัดเป็นน้ำที่ยังพร่องอยู่ในภาชนะ เพื่อที่จะเติมเต็มสิ่งทียังพกพร่องอยู่ จงหมั่นภาวนาละปล่อยวาง เพื่อความสุขที่แท้จริงในใจของเราเอง
 ๑๐ มกราคม ๒๕๕๔                          
 
           อาตมาไม่มีความศรัทธาในการบำบัดรักษาด้วยการนวดเลย เพราะเคยให้คนนวดหลายครั้งมาแล้ว อาการต่าง ๆก็ไม่ดีขึ้น จนกระทั่งได้มีโอกาสได้พบกับโยมหมอประกายคำ ทาทุบแป้น ได้ช่วยรักษาผู้ป่วยที่หมอจะทำการผ่าตัด เช่น โรคกระดูกทับเส้น และอาการของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคปวดหัว นอนกรน ฯ ส่วนตัวอาตมานั้นมีปัญหาที่สะโพก สมัยเป็นนักเรียนเล่นกีฬา(รักบี้) ถูกชนที่สะโพกทำให้รู้สึกมีอาการขัดที่สะโพก และเอามือก้มลงแตะพื้นไม่ได้มาประมาณ ๓๐ ปี ได้มีโอกาสให้ลูกศิษย์โยมหมอนวดให้จำนวน ๖ ครั้งอาการต่าง ๆ ก็ดีขึ้น  สามารถนำมือลงแต่พื้นได้ อาการปวดต่าง ๆก็ดีขึ้น เป็นสิ่งที่อัศจรรย์ใจแก่อาตมาเป็นอย่างยิ่ง 
                โยมประกายคำ ได้พูดถึงการรักษาเช่นนี้ว่า หมอคนแรกได้แก่หมอชีวกโกมารภัท ในสมัยพุทธกาล และการรักษาแพทย์แผนไทยนั้นได้อยู่กับพระพุทธศาสนามาโดยตลอด จะเห็นได้ว่าสิ่งมีค่าและมีประโยชน์ ผู้ที่มีความรู้ความสามารถ จึงสามารถนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ธรรมของพระองค์ก็เช่นเดียวกัน เป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุด ผู้ที่สามารถจะหยิบมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีความเพียรในการใส่ใจทำความดีอย่างไม่ลดละ ไม่มีของดีอันใดที่จะได้มาโดยง่ายเลย
   ๑๑ มกราคม ๒๕๕๔
 
 
                ได้มีโอกาสพาครูบาอาจารย์และญาติโยม ไปปฏิบัติธรรมที่ประเทศอินเดีย และเนปาล จำนวน ๔๒ รูป/คน ระหว่าง วันที่ ๒๕ พ.ย.- ๘ ธ.ค.๕๓ ทุกคนที่ไปต่างก็มีความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสไปในครั้งนี้ พระคุณเจ้าและญาติโยมบางคนได้พูดว่า ได้มาเติมเต็มในสิ่งที่ตนเองขาดไป และมีกำลังใจในการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างมาก อาตมาในฐานะผู้นำในการแสวงบุญ รู้สึกภูมิใจที่ได้ตอบแทนความดีของพระพุทธองค์ ที่ทรงสร้างบารมีมาเป็นเวลานานแสนนาน เพื่อที่จะสั่งสอนให้ชนทั้งหลายได้ศึกษาและปฏิบัติ ตามคำสั่งสอนของพระองค์ ให้เข้าถึงซึ่งวิมุตติคือความหลุดพันเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในที่สุด
 
    ๑๓ มกราคม ๒๕๕๔

            ยมอรเย็น  เป็นฝรั่งชาวเนเธอแลนด์  เคยมาปฏิบัติธรรมที่วัดหลายครั้ง  และในวันนี้ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา  ที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะ มีญาติโยมไปร่วมอนุโมทนาประมาณ ๒๐ คน มีพระทาคาสิ  มหาปุญฺโญ  พระภิกษุชาวญี่ปุ่นเป็นพระพี่เลี้ยง  จะเห็นได้ว่าคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เป็นสิ่งที่น่าเคารพเลื่อมใส  เพราะเป็นหลักของความจริงที่สามารถพิสูจน์ได้  เป็นหนทางนำไปสู่ความสงบสุขแก่ผู้นำไปปฏิบัติได้อย่างแท้จริง  การที่ชาวต่างชาติมีศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง  เนื่องจากความดีของพระพุทธองค์นั่นเอง
๒๐  มกราคม  ๒๕๕๔

             โยมนกยูง  ซึ่งเป็นอดีตภรรยาของพระอรเย็น  ได้ไปงานอุปสมบทของโยมอรเย็น  พร้อมด้วย  พ่อ แม่ และญาติพี่น้อง  อาตมาได้มีโอกาสพูดคุยกับพ่อ แม่ ของโยมนกยูง  ซึ่งทั้งสองมีสีหน้าที่ไม่สดชื่น  ทั้งนี้เนื่องมาจากเพิ่งเสียลูกชายอันเป็นสุดที่รักไป  เมื่อประมาณ ๑ เดือนที่ผ่านมา ต่างพูดด้วยความโศกเศร้าเสียใจว่า ยังไม่ควรจากไปเลยเพราะอายุยังน้อยอยู่ (อายุ ๔๒ ปี)  นี่แหละความทุกข์อันเกิดจากความรัก  รักมากก็ทุกข์มาก  สิ่งเหล่านี้เป็นกฎของธรรมชาติ  ที่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดา  ไม่มีใครที่จะหลีกเลี่ยงได้เลย  การปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์  เป็นไปเพื่อบรรเทาเสียซึ่งความเศร้าโศกเสียใจในสิ่งเหล่านี้   ให้ลดน้อยถอยลง  ทำให้หมั่นสร้างความดี  หมั่นทำความดี  เพื่อหวังความสุขที่แท้จริง  ในจิตใจของเราเอง
๒๑  มกราคม  ๒๕๕๔

              อาตมาได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปแสวงบุญกับ พระอาจารย์ประสงค์  สุสนฺโน  เมื่อวันที่ ๑๕-๒๖ มีนาคม ๒๕๕๔  ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  ระหว่างการเดินทางท่านได้ให้ธรรมะกับโยมวีณา กุลจลา  เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมว่า  คนเราในปัจจุบันนี้มักแสวงหาความสุข  จากความสุขในกามคุณมีรูปรสกลิ่นเสียงเป็นต้น  การแสวงหาเช่นนั้นเป็นการนำมาซึ่งความทุกข์ในภายหลัง  แต่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้ชนทั้งหลายหาความสุขจากความทุกข์  พิจารณาว่าโลกนี้นั้นเป็นทุกข์อันเกิดจาก การเกิด แก่ เจ็บ  ตาย  เมื่อรู้ว่าโลกนี้เป็นทุกข์แล้วยอมรับความทุกข์  จะได้ความสุขในภายหลัง  การปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน  ให้ปฏิบัติจนผ่านทุกข์เวทนาต่าง ๆให้ได้  เช่นการนั่งสมาธิให้นาน ๆจนผ่านทุกขเวทนาให้ได้  ถ้าทำได้จิตของเราจะเข้มแข็งต่ออุปสรรคทั้งหลาย  เป็นการเตรียมตัวก่อนที่ความตายจะมาถึง  แต่ถ้าไม่มีการเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน  เมื่อความตายมาถึง  จะทำให้มีความทุกข์มากยิ่งขึ้น ทุกข์เพราะไม่อยากตาย  ไม่อยากพลัดพรากจากของรักของชอบใจ  สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงไปได้เลย  เราเกิดมาแล้วต้องถึงความตายเป็นของธรรมดากันทุกคน
๒๖  เมษายน  ๒๕๕๔

 

 

            อาตมาได้มีโอกาสถวายการนวดแก่พระอาจารย์ประสงค์  สุสนฺโน ระหว่างการเดินทางแสวงบุญประเทศอินเดีย  ระหว่างถวายการนวดนั้นท่านได้เมตตาอบรมธรรม เช่นท่านได้สอนว่า  สมบัติสิ่งของในโลกนี้  ที่จริงแล้วเป็นของต้องทิ้งทั้งสิ้น  ใครยึดถือผูกพันมากเพียงไร  ความทุกข์ก็จะเกิดขึ้นมามากเพียงนั้น  คนในโลกนี้ต้องการแสวงหาสิ่งเหล่านี้  เพื่อบำรุงบำเรอความสุขของตนเอง สุดท้ายสิ่งเหล่านี้มิได้นำความสุขที่แท้จริงมาให้    แต่พระอริยะเจ้าทั้งหลาย  ท่านเห็นว่าเป็นสิ่งที่ต้องละปล่อยวาง  เพราะสภาวะจิตที่ละ  ปล่อย  วาง  เป็นสภาพนำมาซึ่งความสุขอย่างยิ่ง
๒๗  เมษายน  ๒๕๕๔

             พระฮิเดยุกิ  ฟุคุย  ท่านได้ขออนุญาตไปปฏิบัติธรรมที่  ในป่าอุทยานแห่งหนึ่งในภาคอีสาน  ซึ่งท่านไปอยู่มาแล้วประมาณ ๒ เดือน ท่านบอกว่าที่นั่นมีสัตว์ป่า เช่น ช้าง เสือ งู ฯ อยู่จำนวนมาก  ท่านต้องการไปปฏิบัติเพื่อแสวงหาความพ้นทุกข์  ต้องการไปอยู่องค์เดียวในป่า  ห่างหมู่บ้านที่สามารถบิณฑบาตประมาณ ๒ ก.ม.

               พระฮิเดยุกินี้  เป็นพระภิกษุชาวญี่ปุ่น อุปสมบทที่วัดได้ ๖ ปี  เป็นผู้ที่มีความตั้งใจในการปฏิบัติเป็นอย่างมาก  ได้สอบถามท่านว่าจุดมุ่งหมายในการไปครั้งนี้เพื่ออะไร  ท่านบอกว่าต้องการปฏิบัติให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน และแสวงหาโมกขธรรมคือความพ้นทุกข์  อาตมาเมื่อเห็นว่าท่านไปเพื่อทำความดี  จิตได้น้อมอนุโมนาในความวิริยะอุตสาหะเป็นอย่างยิ่ง  ท่านได้กราบลาไปตามวิถีทางชีวิตของต้น เพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุด  ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบแล้ว  ท่านพยายามสู้ต่อกิเลสภายใน  ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ถึงซึ่งจุดนั้น

            คนเราไม่สามารถเลือกเกิดเองได้  แต่เราสามารถที่จะเลือกทางเดินชีวิตของเราได้  ทุกคนในโลกนี้ต้องการแสวงหา  และไขว่คว้าในสิ่งที่ตนเองปรารถนา  ก่อนที่จะสิ้นลมจากโลกนี้ไป  จงคิดและทำในสิ่งที่ตนเอง  คิดว่าดีที่สุด  แต่ถ้าคิดไม่ได้  ขอให้เราหันมาปฏิบัติสิ่งที่ดีงาม  ตามที่ผู้รู้ท่านได้คิดและสั่งสอนไว้  นั่นคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง
๒๘  เมษายน  ๒๕๕๔

             มองดูโลกที่กำลังสับสนวุ่นวาย  ในปัจจุบัน  ภัยอันเกิดจากธรรมชาติ มีสินามิ  แผ่นดินไหว น้ำท่วม เป็นต้น  เป็นภัยธรรมชาติที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์  ที่ชอบทำลายธรรมชาติ  ขณะนี้ธรรมชาติกำลังตอบสนองต่อสิ่งที่มนุษย์ได้ทำลงไป  นอกจากนี้ยังมีภัยที่เกิดจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน  มีการแก่งแย่งชิงดีเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน  เป็นภัยภายในที่เกิดจากกิเลสของแต่ละคน  ภัยที่เกิดจากจิตใจของมนุษย์นั้นน่ากลัวยิ่งกว่าภัยภายนอกเป็นอย่างยิ่ง  เพราะสามารถทำลายล้างซึ่งกันและกันได้  มากกว่าภัยอันเกิดจากธรรมชาติหลายเท่านัก

๒๙  เมษายน  ๒๕๕๔

 

 

กราบอนุโมทนาท่านมากๆๆค่ะ   โยมกำลังรอว่าจะได้เกษียณก่อนเวลาหรือไม่ เพราะโยมเพิ่งตัดสินใจตอนที่ไปชมและทราบประวัติจากท่าน 

เจริญพร
โยมทำปัจจุบันให้ดีที่สุด  แล้วกรรมจะพาเราไปเอง  เหมือนผลไม้ต้องปล่อยให้สุกตามกาลเวลาของมัน  ไม่ใช่ไปเร่งให้มันสุก  ไม่ใช่เรื่องง่ายในเรื่องเช่นนี้  ขอให้ทำจริง ๆ แต่ทำเหมือนเล่น ๆ จับอารมณ์สบาย ๆ แล้วทุกอย่างจะดีเอง
พระมหานพดล

 กราบอนุโมทนาในความเมตตาของพระมหานพดลเป็นอย่างยิ่ง ที่กรุณาช่วยแนะนำ โยมกำลังปฏิบัติตามที่ท่านแนนำอยู่ และคงต้องรอว่า... แล้วกรรมจะพาเราไปเอง โยมอาจจะมีความอยากมาเสริมด้วยทั้งๆๆที่เหตุปัจจัยที่สร้างไว้ในอดีต ต่างจากของท่านมากๆๆ เวลาที่เริ่มจากนี้ไปโยม จะทำจริง ๆ แต่ทำเหมือนเล่น ๆ จับอารมณ์สบาย ๆ อย่างที่ท่านแนะนำ
ปล.    เมื่อ 2 วันก่อน โยมได้ไปในสถานธรรมแห่งหนึ่งที่......... เพราะความเกรงใจ พี่สหธรรมิก พยายามชักชวนไปปฏิบัติ โดยผู้ที่ปฏิบัติได้ท่านบอกว่าท่านเคยบวชแล้วปฏิบัติกิจให้ทางศาสนาไม่ได้ ต้องอยู่ในเพศฆราวาส ท่านใช้ญาณหรือฌาม ดูว่าพื้นที่แห่งนี้มีกระแสของพระศรีอาริยเมตตรัยลงมาจุติและชวนกันสร้าง นอกจากนี้ก้อกระแสพ่อปู่ กระแสเจ้าแม่กวนอิมและทวยเทพอื่นๆๆอีก ท่านผู้นี้สามารถปฏิบัติกิจติดต่อกับทวยเทพและพยายามใช้กระแสดูจิตผู้ที่เข้าไปหา ท่านเล่าว่าศาสนาในโลกนี้มี 3 ศาสนาคือศาสนาเทพพระเจ้า๖คริสต์ อิสลาม)  ศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ เวลาที่ทำพิธีต้องไหว้ให้ครบเพื่ความเป็นสิริมงคล โดยเฉพาะการทำสังฆทานท่านผู้นี้ปฏิยัติตนได้แทนสงฆ์เลย   โยมไปดูแล้วโยมสงสัยหลายอย่างเพราะเท่าที่โยมศึกษาจากครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านจะต้องมีการอุปโลกและยึดมั่นมากในไตรสรณครม์และน้อยองค์นักที่จะดูจิตให้ญาติโยม มีแต่ให้ญาติโยมทำเอาเอง แล้วจะทราบด้วยตนเอง แต่ที่สงสัยมากๆๆคือตอนที่เทพเข้าร่างโยมคนหนึ่งขณะนั่งอยู่เฉยๆๆ โยมเองยังปฎิบัติไม่ด้เลยไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ และก้ออีกแหละ ครูบาอาจารย์จะบอกเสมอว่ามนุนย์ขี้เหม็น เทพเทวดาไม่มายุ่งด้วยหลอก ทั้งหมดที่เล่ามา โยมพยายามหามี่สัปปายะในการปฏิบัติ แต่โยมไม่รูเลยว่าที่ไปมาครั้งนี้ โยมหาที่หรือเปล่าไม่แน่ใจ
  โยมมีขอรบกวนถามท่านว่า สถานธรรมแห่งหนึ่งที่............แห่งนี้ จะเป็นที่ช่วยเสริมการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ไหมหนอ.....ขอความกรุณาท่านช่วยแนะนำด้วยเจ้าค่ะ   กราบขอขมากรรมใดๆๆทั้งหมดทั้งมวล ถ้าโยมก้าวล่วงไปโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก้อดี ขอโปรดอโหสิกรรมด้วยเจ้าค่ะ

 เจริญพร

อาตมาได้พบสิ่งทำนองนี้มามากแล้ว  และก็สงสัยเหมือนโยมเช่นกัน  ตามความเข้าใจของอาตมาพอสรุปได้ว่า  สิ่งใดที่นอกธรรมนอกวินัยแล้ว  สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ทั้งสิ้น  สิ่งใดที่นอกเหนือพระพุทธ  พระธรรม พระสงฆ์  สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ทั้งสิ้น  การปฏิบัติธรรมนั้นเป็นส่ิงที่รู้ได้เฉพาะตน  อาตมาเมื่อปฏิบัติมากย่ิงเข้าใจว่า  ทำไมครูบาอาจารย์ถึงเน้นให้ปฏิบัติให้มาก  ทำให้มาก  ถึงจะบอกอย่างไรก็ไม่รู้ต้องปฏิบัติเองจริง ๆ ครูบาอาจารบ์ที่ท่านรู้มากปฏิบัติมาก  การกระทำทุกอย่างจะเป็นธรรมชาติ  ไม่ต้องเสแสร้ง  แต่ถ้าผู้ปฏิบัติที่ทำอะไรดูแล้ววิเศษกว่ามนุษย์ธรรมดา  ให้สังวรไว้เถอะว่า น่ากลัวและต้องระวัง  แต่คนส่วนใหญ่มักหลงติดในสิ่งเหล่านี้ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าบุคคลใดปฏิบัติดีจริง  ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านบอกว่าให้ดูเทียบกับธรรมและวินัย  และการปฏิบัติธรรมนั้นต้องเป็นไปเพื่อความมักน้อย  สันโดด  ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย  ไม่เรื่องมาก  ทำตัวแบบสบาย ๆ  ผู้เข้าใกล้เกิดความสงบและเย็นสบาย  ด้วยพลังแห่งเมตตา ขอให้โชคดี  และพบส่ิงที่ตนปรารถนาเทอญ 
พระมหานพดล ๒๑ พ.ค. ๕๔  

 

 

กราบนมัสการพระอาจารย์นพดล
        โยมได้กัลยาณธรรม สอนฝึกให้โยม โดยทิ้งของเก่าให้หมด  และเริ่มจากการฝึกสติกับลมหายใจเข้า-ออก อยู่ตลอด 1440 นาทีใน 1 วันว่าอยู่กับลมหายใจเข้า-ออกได้เท่าไหร ถ้าไม่อยู่ให้เพิ่มคำบริกรรม พุทโธและกำกับด้วยการนับเลขแล้วจดบันทึกไว้ก่อน เพื่อตะล่อมจิตในเบื้องต้น มากกว่าการฝึกในรูปแบบซึ่งจะทำให้ผู้ฝึกรู้สึกว่าถอดใจมากๆๆ ถ้าทำไม่ได้โดยเฉพาะของโยมเอง
                                                                                       Siwadee
                                                                                      15-06-2554

 โยม  Siwadee
     อนุโมทนาด้วย  การฝึกอานาปานสตินับว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้อง  ถ้าทำให้มากปฏิบัติให้มาก จึงจะเข้าใจ  อาตมาปฏิบัติมาตั้งแต่อายุประมาณ 17 ปี การปฏิบัติจะค่อยลุ่มลึกไปเรื่อย ๆ เหมือนทะเลที่ค่อย ๆราบเรียบลงไป  ถ้าทำถูกจะได้ผลคือความสุข  เป็นความสุขอันเกิดจากการปล่อยวาง  ไม่ใช่ความสุขอันเกิดจากความยึดมั่นถือมั่น ย่ิงปล่อยวางมากเพียงไรก็ยิ่งมีความสุขมากเพียงนั้น
   ในวันที่ 19-24 มิ.ย.นี้  มีญาติโยมขอให้จัดปฏิบัติธรรมที่วัด พร้อมกับแนะนำเรื่องสุขภาพแบบองค์รวม  อาตมาจะสอนการปฏิบัติอานาปานสติให้กับผู้มาปฏิบัติด้วย การจัดครั้งนี้จะพิจารณาทำเป็นรูปแบบในการที่จะอบรมผู้สนใจในครั้งต่อๆไป  จึงไม่ได้แจ้งให้ทราบ
    เจริญพร

พระมหานพดล  สิริวฑฺฒโน ๑๗ มิ.ย. ๕๔

 

 

 

ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า จะทำการงานสิ่งใดให้ใส่ความพอใจเข้าไปด้วย   เพราะความคิดนี้แหละทำให้เราสุขหรือทุกข์ได้   อาตมาได้ทำสิ่งเหล่านี้ลงไป รู้สึกว่ามีแต่ความสุขความสบาย เป็นเพราะความคิดของเราในมุมมองที่ดี   การงานบางอย่างที่เราต้องทำอยู่แล้ว ถ้าเราไม่อยากทำแล้วคิดและบ่นในแง่ร้าย เราก็จะทุกข์ตลอดไป ทั้งก่อนทำ ขณะที่ทำ และเมื่อทำเสร็จแล้ว ดั้งนั้นเราจึงควรคิดและพูดกับตนเองเสมอว่า พอใจ พอใจ พอใจ นี่คือการสร้างความสุขที่อยู่ในตัวเราตลอดไป

 
 
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔
 

            โยมเทราตะ ชาวญี่ปุ่นได้มาปฏิบัติธรรมที่วัดเป็นเวลาประมาณ ๒ เดือน จะเดินทางกลับประเทศญี่ปุ่นในวันที่ ๘ ก.ค. และจะกลับมาอุปสมบทเป็นพระภิกษุในวันที่ ๕ ส.ค. จากวัดพระพุทธบาทตะเมาะไปตัวเมืองเชียงใหม่ ประมาณ ๑๔๐ ก.ม. โยมคนนี้จะเดินไปที่เชียงใหม่เพื่อขึ้นรถกลับกรุงเทพ ตลอดระยะเวลาที่เขาอยู่ที่วัด อาตมาเห็นว่ามีความตั้งใจในการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างดี น่าอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง
            คนทีชอบเดินไปตามทางที่เราพบเห็นกันบ่อย ๆ อาตมาพิจารณาดูแล้วน่าจะเป็นบุคคล ๒ ประเภทได้แก่ นักบวช กับคนสติไม่ดี ทั้งสองประเภทนี้มีการเดินที่เหมือนกัน แต่จุดมุ่งหมายนั้นต่างกันเป็นอย่างมาก จึงไม่แปลกใจที่ชนทั่วไปที่มองผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ เหมือนกับคนที่สติไม่ดี ปลาที่แวกว่าอยู่ในน้ำย่อมไม่รู้จักท้องฟ้าฉันใด บุคคลผู้ที่ไม่ได้เขามาเป็นนักบวชโดยเฉพาะพระภิกษุ ย่อมไม่รู้จักนักบวชฉันนั้น
๑ กรกฏาคม ๒๕๕๔

 
 
เมื่อว้นที่ ๘-๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ได้จัดอบรมการปฏิบัติธรรม และการดูแลตนเองแบบองค์รวม โดยเชิญโยมหมอประกายคำ ทาทุบแป้น พร้อมด้วยคณะมาเป็นวิทยากร อาตมาได้มีโอกาสศึกษาและปฏิบัติ ในการดูแลตนเอง ได้มีโอกาสฝึกการนวดรักษา ในขั้นพื้นฐาน หลังจากที่ได้รับการแนะนำผู้รับแารอบรมได้นำวิชาความรู้ไปช่วยตนเองและบุคคลอื่นได้เป็นอย่างมาก

 

            เมื่อญาตโยมเห็นความสำคัญจึงได้ขอให้จัดการปฏิบัติเช่นนี้อีก   จึงได้จัดทำขึ้นอีกในวันที่ ๑๙-๒๔ มิถุนายน จำนวน ๒๔ รูป/คน ทุกคนมีความประทับใจเป็นอย่างมาก เพราะสามารถทำให้ร่างกายของตนเองมีสุขภาพดีข้ึนเป็นอย่างมาก ประกอบกับการได้ปฏิบัติธรรม เดินชมธรรมชาติ ทำให้จิตใจผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี

 

            โยมแม่ชีดาราได้ขอร้องให้จัดอบรมพระคุณเจ้าวัดถ้ำตอง จำนวน ๘ รูป จึงได้จัดอบรตั้งแต่วันที่ ๒๗ มิ.ย. -๒ ก.ค. พระคุณเจ้าทุกองค์มีความตั้งใจกันเป็นอย่างดี มีความกระตือรือร้นที่จะดูแลตนเอง   เห็นแล้วน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง และเห็นว่าคนไทยยังมีสุขภาพที่ไม่ดีอีกมาก ไม่รู้จักการดูแลตนเองที่ถูกต้อง โยมแม่ชีดาราจึงได้มีโครงการที่จะจัดช่วยพระภิกษุสงฆ์ในโอกาสต่อไป

 
๒ กรกฎาคม ๒๕๕๔
 

          เมื่อประมาณ ๒ อาทิตย์ ที่ผ่านมา อาตมาได้เดินทางกลับจากกรุงเทพ ได้แวะเยี่ยมโยมที่อำเภอลี้ โยมคนนี้มีแม่ซึ่งป่วย เป็นโรคปวดเมื่อยหลังอยู่หลายวัน อาตมามีความสงสัยว่าการปวดหลังจนลุกไม่ขึ้นนั้นเป็นอย่างไร เพราะเกิดมาไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย เมื่อกลับไปถึงวัดได้ประมาณ ๒ วัน อาตมามีอาการปวดหลังเหมือนที่โยมคนที่กล่าวมา มีอาการปวดอยู่สองสามวัน อาการก็ไม่ดีขึ้น จะลุกนั่งหรือยืนปวดไปหมด จึงได้ให้พระพีรพงศ์ฯ นวดให้ประมาณ ๓ ชั่วโมง ปรากฎว่าอาการปวดหลังได้หายจนเกือบปกติ
       เมื่อวานนี้พระอาจารย์ทาคาสิฯ พระภิกษุชาวญี่ปุ่น มีอาการปวดหลังจนลุกแทบไม่ขึ้น ต้องใช้ไม้เท้าช่วยเดิน พระพีรพงศ์ฯ จึงได้ถวายการนวดให้ประมาณ ๑ ชั่วโมง อาการปวดที่หลังดีขึ้นมาก วันนี้ได้รับการนวดอีกอาการปวดหายเกือบปกติ นับว่าการนวดรักษาอาการปวดเมื่อยเป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง อาตมาเองไม่เคยศรัทธาในเรื่องนี้มาก่อนเลย    จึงนับว่าเป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง
๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๔

 
        อาตมาได้ศึกษาการดูแลตนเองแบบองค์รวมมาประมาณไม่ต่ำกว่า ๓๐ ปี ซึ่งปัจจุบันนับว่ามีความรู้ในการดูแล
 
เอง และผู้ที่อยู่ในวัด อีกทั้งได้แนะนำญาตโยมให้ได้รับทราบไปแล้วหลายคน โยมแม่ชีดาราฯได้มี
 
โอกาสไปรับการอบรมท่่ีวัด และเห็นความสำคัญในเรื่องดังกล่าวนี้ จึงได้มีโครงการที่จะถวายความรู้แด่พระสงฆ์ และผู้ที่สนใจในการดูแลตนเอง โดยนิมนต์ให้อาตมาและคณะเป็นพระวิทยากรในเรื่องนี้ อาตมาคิดว่าเรื่องนี้เป็น
 
เรื่องที่คนเรานั้นควรที่จะรู้จักตนเอง จึงรับนิมนต์ในกิจกรรมที่จะกระทำขึ้นในอนาคต ถ้าญาตโยมคนใดมีความสนใจที่จะเข้ารับการอบรม หาความรู้ในเรื่องนี้ให้ติดต่อได้ที่ โยมแม่ชีดารา หมายเลขโทรศัพท์ 084-4831717มีผู้ใจบุญมีบ้านไม้สักหลังใหญ่ จุคนได้ประมาณ ๕๐ คน อยู่ที่ อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ถวายให้โยมแม่ชีไว้ทำประโยชน์ให้กับสังคม จะใช้สถานที่นี้เป็นที่อบรมความรุู้ต่าง ๆ ถ้าผู้ใดสนใจโทรฯสอบถามได้
๒๗ กรกฏาคม ๒๕๕๔
 
 

 

        โยมกรเป็นเด็กหนุ่มอายุได้ ๑๘ ปี ได้ขอไปอยู่ที่วัดก่อนเข้าพรรษา ได้เล่าให้ฟังถึงชีวิตของตนว่า ตนเองเป็นคนที่เกเรเป็นอย่างมาก ชอบเป็นนักเลงหัวไม้ ยาเสพติด สุรา นารี มีครบทุกอย่าง ตอนหลังประสบอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซร้ล้ม สลบไปหลายวัน เป็นอัมพาตไปครึ่งซีกอาการต่างๆค่อยทุเลาและดีขึ้นเป็นลำดับ ได้เคยไปรักษาทั้งการนวดและฝังเข็ม แต่อาการยังไม่กลับดีเหมือนเดิม เมื่อมาอยู่วัดวันแรก ๆ เวลาเดินเท้าจะลากไปกับพื้น ได้สอนให้นวดช่วยกัน ปรากฏว่าอาการต่างเริ่มดีขึ้น การเดินเกือบหายเป็นปกติ
     โยมคนนี้เมื่อก่อนไม่เช่ือเรื่องบาปบุญคุณโทษ จึงทำอะไรตามใจตนเองเป็นที่ทุกข์ใจของพ่อแม่เป็นอย่างยิ่งแต่ปัจจุบันเขาเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม และพยายามกลับตัวกลับใจเป็นคนดีของสังคม   ในเมื่อคนเขาล้มมาเราก็ควรให้โอกาสเขา เผื่อเขาจะได้กลับใจเป็นดีของสังคมสืบไป แต่เมื่อมาอยู่วัดก็ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ของทางวัดด้วย
๒๗ กรกฎคม ๒๕๕๔ 

 

       โยมปุ๊รู้จักอาตมาได้ไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปี ปัจจุบันมีอาชีพเลี้ยงกุ้งที่จ.ระยองมาได้ประมาณ ๑๐ ปี เมื่อปลายปีท่ีแล้วได้ไปทอดกฐินที่วัดอาตมา ในขณะนั้นเขาเลี้ยงกุ้งตายไปทั้งหมด ๑๖ บ่อ เป็นหนี้หลายล้านบาท อาตมาเองได้รับทราบจากพระคุณเจ้ารูปหนึ่งว่ามีสารชนิดหนึ่งถ้านำไปละลายผสมอาหารให้กุ้งกิน จะทำให้กุ้งมีสุขภาพที่ดี จึงได้แนะนำโยมให้ไปทำ ปรากฏว่าตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา การเลี้ยงกุ้งของเขาดีมาตลอด เขาคิดว่าถ้าหมดภาระหนี้สิ้นก็จะเลิกเลี้ยงหันไปประกอบอาชีพอื่น
      อาตมาคิดอยู่หลายวันว่าการแนะนำให้ทำเช่นนี้จะเหมาะสมหรือไม่ เพราะเป็นการประกอบอาชีพที่ต้องเบียดเบียนสัตว์แต่มานึกดูว่าแนะนำให้สัตว์มีสุขภาพที่ดี แต่เรื่องที่เขาจะไปทำอะไรคงไม่เกี่ยวกับตนเอง เพราะถึงเราจะไม่แนะนำเขาก็ทำกันอยู่แล้ว คิดเช่นนี้ได้ก็สบายใจ
๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๔

 

        วันนี้ได้อุปสมบทพระที่วัดจำนวน ๒ องค์ เป็นพระญี่ปุ่น ๑ องค์ มี ชาวญี่ปุ่นมาร่วมงาน ๓ คน เป็น ดร.ที่มีชื่อเสียงในประเทศญี่ปุ่น ๒ คน ดร.ซาซากิเป็นผู้ที่มีความรู้ในพระพุทธศาสนฝ่ายเถระวาท และแตกฉานในภาษาบาลี ได้ร่วมกับพระทาคาซิ ฯ แปลพระปาฏิโมกข์เป็นภาษาญี่ปุ่น จัดพิมพ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ดร.ซาซากิ ยังได้เขียนบทความเรื่องการดำรงชีวิต โดยใช้วินัยในการดำรงชีวิต จำนวน ๘ เล่ม เผยแพร่ในประเทศญี่ปุ่น เป็นที่นิยมในระดับหนึ่ง
       จะเห็นได้ว่าคนญี่ปุ่นเป็นคนที่มีระเบียบวินัยที่ดี แต่คนญี่ปุ่นมีความเครียดมาก ต้องดิ้นรนต่อสู้กับชีวิต จะเห็นได้ว่าศีลธรรมเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต การเคร่งครัดในบางครั้งอาจจะกลายเป็นความเคร่งเครียดไปก็ได้  ดังนั้นทางสายกลางเป็นวิถีทางดำเนินชีวิตเพื่อความผาสุขในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด
๕ สิงหาคม ๒๕๕๔

       
      สันตุฏฐี ปรมัง ธนัง แปลเป็นความไทยว่า ความสันโดษ เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง อาตมาซึ้งใจกับพุทธภาษิตบทนี้ เป็นอย่างมาก เพราะผู้ใดมีความสันโดษ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้มีทรัพย์ ความสุขนั้นที่จริงแล้วมันอยู่ที่ใจของเรา บางคนมีทรัพย์มาก แต่ไม่รู้จักความพอดีของตน ได้มาแล้วมีความโลภมากอยากได้อีกมาก ๆ โดยการทำงานหนักเกินกำลัง เบียดเบียนผู้ที่ด้อยกว่าตน เขาเหล่านั้นจะหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้เลย เขาผู้นั้นจะชื่อว่า มีทร้พย์อย่างยิ่งมิได้เลย  
      แต่ถ้าบุคคลผู้มีทรัพย์แล้วรู้จักความสันโดษ ดั่งเช่นนางวิสาขามหาอุบาสิกในสมัยพุทธกาล นางนั้นมีทรัพย์หลายร้อยโกฏิ   และเป็นพระโสดาบัน นางรู้จักความพอดีในทรัพย์ที่มีอยู่ รู้จักการทำบุญ ช่วยเหลือคนยากคนจนมีศีลธรรมประจำใจ แม้นางจะมีเครื่องประดับมีค่าถึง ๒๗ โกฏิ แต่นางก็รู้จักความพอดี ทำตัวให้สมกับฐานะของตน มีชีวิตอย่างมีความสุข จึงนับว่านางนั้นเป็นผู้มีทรัพย์อย่างยิ่ง
      ส่วนบุคคลใด แม้จะมีทรัพย์ไม่มาก ถ้ารู้จักความพอดีของตน ใช้สอยในสิ่งท่่่ีตนเองมีอยู่ ก็นับว่าผู้นั้นเป็นผู้มีทรัพย์อย่างยิ่งเช่นเดียวกัน เพราะความสุขนั้นอยู่ที่ใจของเรา ไม่ใช่อยู่ที่ทรัพย์ภายนอกเลย ดั่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล พระองค์ทรงตรัสเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสันโดษ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ทุกประการ  ถ้าเข้าใจในพุทธภาษิตนี้ ชีวิตของเราจะมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
 
๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๔
 
สันตุฏฐี ปรมัง ธนัง                  จงปลูกฝังในใจให้สันโดษ
เหมือนมีทรัพย์ภายในอยู่หลายโกฏิ                  จิตช่วงโชติรู้พอเพียงอยู่ในตน
ทรัพย์ภายนอกมากมายมหาศาล                  มิชื่นบานหากใจนั้นมันสับสน
คิดละโมบโลภมากย่อมวกวน                                    ให้ใจตนเป็นยาจกตลอดไป
อันความสุขอยู่ที่ใจมิใช่หรือ                                    หากใครถือเงินตราหาเอาไว้
แล้วไม่รู้ว่าความสุขอยู่ภายใน                                    น่าห่วงใยเพราะเขานั้นไม่รวยเลย
๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๔
 

        เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๔ ได้มีโอกาสพบกับ พระ มรว. แซมแจ่มจรัส รัชนี ท่านเคยทำงานรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เกี่ยวกับโครงการหลวง และท่านมีโครงการอีกประมาณ ๙ โครงการที่กำลังดำเนินการปรับปรุงแก้ไข เพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านมีความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่านเป็นอย่างมาก อาตมาได้ฟังแล้วรู้สึกว่าคนไทยโชคดีที่เกิดเป็นคนไทย และมีพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงห่วงใยพระสกนิกรของพระองค์ท่านเป็นอย่างมาก พระองค์ทรงทำงานอย่างมากเพื่อความสุขของปวงชนชาวไทย 

                           ภูมิ แผ่ปกป้องผองไทย
                         พล    เกรียงไกรทั่วโลกาไม่มีเหมือน
                          อดุย  สถิตย์ในใจมิลืมเลือน
                         เดช    เสมือนมหาราชผู้ทรงธรรม

๙ กันยายน ๒๕๕๔

 

    วันนี้ได้รับอีเมล ที่อาตมาจะไปร่วมประชุมกับ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ( กปร) ในวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ อาตมาได้รับความไว้วางใจจากพระ ม.ร.ว. แซมแจ่มจรัส (รัชนี) ภวปาโล  และนายปรีชา สงานศักดิ์ ให้อาตมาทำเตาเผาขยะปลอดมลภาวะ ซึ่งจะถวายสิทธิบัตรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.9) นับเป็นความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสทำงานสนองพระราชดำริของพระองค์ อาตมาเองเกิดมาในโลกนี้ไม่ช้าก็จะต้องตายจากโลกนี้ไป สมควรที่จะทำอะไรให้แผ่นดินที่เราเกิดมา ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่การให้และเสียสละ ย่ิงให้ก็ยิ่งมีความสุขอันเกิดจากภายใน เพื่อมุ่งหวังที่สุดคือพระนิพพาน อันเป็นบรมสุขอย่างยิ่ง

๙ ตุลาคม ๒๕๕๔

 

 
 ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ นี้ ประเทศไทยและทั่วโลกต่างประสบปัญหาภัยธรรมชาติิิอย่างไม่เคยมีมาก่อน ชนทั้งหลายได้รับความเดือนร้อนเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นในเรื่องกฏของกรรม ใครทำกรรมอันใดไว้ดีหรือชั่วย่อมได้รับผลของกรรมนั้นอย่างแน่นอน 
                  เรื่องของภัยธรรมชาติที่เลวร้ายนั้น อาตมาได้รับฟังมาจากครูบาวงศ์แห่งวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูนสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้เมตตาบอกว่า “คนกรุงเทพฯ ขอให้เตรียมเรือเอาไว้ เพราะน้ำอาจจะท่วมกรุงเทพฯ และต่อไปริมทะเลอาจจะมาอยู่แถวนครสวรรค์” อาตมาได้รับฟังแล้วจึงติดตามดูเหตุการณ์มาโดยตลอด เหตุการณ์ในอนาคตไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้ นอกจากพระพุทธเจ้าและผู้มีบุญบารมีทั้งหลาย ดังนั้นเราจึงควรไม่ประมาท จงหมั่นสร้างความดี เพื่อชีวิตที่ดีในปัจจุบันและอนาคตสืบไป
๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๔

 

 

คนที่บุญมีไม่ถึงที่จะมีความสำเร็จในชีวิต แม้จะมีคนหยิบยืนให้ เขาก็รับไม่ได้ เช่น คนบางคนเป็นผู้มีปัญญาดี สามารถหาทรัพย์ได้ทั้งภายใน(อริยทรัพย์) และทรัพย์ภายนอก(โลกิยะทรัพย์) พยายามที่จะช่วยบุญคนผู้โง่เขลาเบาปัญญา ให้กระทำในสิ่งที่ดีงาม แต่บุคคลนั้นกลับมองไม่เห็นเพราะปัญญาที่เข้าไม่ถึง พยายามตะเกียกตะกาย หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว จนสุดท้ายไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้ ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรมของเขา เพราะยิ่งช่วยก็ยิ่งทำให้เขาหย่ิงผยองพองตน จนสร้างความเดือดให้ตนเองและผู้อื่นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดั่งสุภาษิตที่ว่า
“ห่างหมาให้พอศอก ห่างวอก(ลิง)ให้พอวา ห่างคนพาลา(คนพาล)ให้ไกลแสนโยชน์”
๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๔

 

 

          สมัยที่อาตมาเป็นนายทหารยศ เรืออากาศตรี(พ.ศ.๒๕๒๓) รับราชการเป็นนายทหารฝ่ายจัดหา มีทหารชั้นประทวนยศจ่าสิบเอก คนหนึ่ง บุคคลคนนี้ไม่ชอบทำงานคอยหลบหนีงานอยู่เสมอ อาตมาเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง ได้ค่อยตั้งเตือนสั่งสอนอยู่เสมอ เมื่อได้รับตั้งเตือนเขาไม่ยอมแก้ไขนิสัยนี้ จึงได้เรียกมาตักเตือนอย่างหนัก และคาดโทษเอาไว้ จ่าคนนี้จำใจต้องทำความดีเพราะกลัวถูกลงโทษ
              ในช่วงปลายปีมีการพิจารณาบำเหน็ดความดีให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา จึงได้เสนอให้จ่าคนนี้สองขั้น และบอกในที่ประชุมว่า เขาทำงานดี หลังจากนั้นอีกประมาณ ๒๐ ปี เขาได้ไปทำบุญที่วัด เขามียศเป็นนาวาอากาศโท จึงได้ทักเขาด้วยความดีใจที่เขาประสบความสำเร็จ คำพูดคำหนึ่งที่เขาพูดออกมาว่า “ก็เพราะหลวงพี่นั่นแหละ ผมจึงได้ดีเช่นนี้”
                  นี่แหละความดี ที่พยามเคี่ยวเข็ญให้เขาเป็นคนดี กว่าจะป็นผลต้องใช้เวลานาน บางคร้งก็นานแสนนาน บางครั้งก็ถูกมองไปในแง่ร้าย แต่ความดีที่แท้จริงนั้น เราทำเราก็ได้อยู่แล้ว ไม่ต้องให้ใครมาสรรเสริญ เพราะการทำความความดี มันสำเร็จแล้วที่ใจของเรา
๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๔

 

    ในยามที่กำลังเดือดร้อน อะไรที่จะเป็นที่พึ่งให้เราได้ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า สติเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในยามที่เราเกิดปัญหาต่างๆ ถ้าทำอะไรโดยขาดสติจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร คนส่วนมากมักจะโทษสิ่งภายนอก แต่พระพุทธองค์ให้โทษตัวเราเอง เราทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่ว ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นอย่างแน่นอน อุทกภัยที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย นับเป็นสิ่งที่ร้ายแรงมาก ถ้าบุคคคลที่เคยฝึกตนเองมาดีแล้ว ย่อมทำใจให้ยอมรับกับความจริงนี้ และจงพิจารณาเห็นว่า โลกนี้เป็นโลกแห่งความสมมุติ มันไม่มีอะไรที่เป็นของๆเราแม้แต่อย่างเดียว แม้แต่สรีระร่างกายของเรา สุดท้ายก็ต้องคืนให้กับแผ่นดิน ผู้มีสติเห็นความเกิดและความดับด้วยความเป็นจริง ย่อมบรรเทาเสียซึ่งความทุกข์โศกเสียได้
๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๔

 ในยามที่เราเกิดความเดือดร้อนในเรื่องต่าง ๆ เช่นน้ำกำลังท่วมบ้านเมืองของเราในขณะนี้ เราจงเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส เพราะคนเราจะแข็งแกร่งขึ้นมาได้ก็เพราะการที่ได้ฝึกฝนตนเอง พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้ฝึกตนเองอยู่เสมอ ๆ เช่นการฝึกให้ถือธุดงควัตร ให้รักษาศีล ไม่เป็นคนเกียจคร้าน  หมั่นขยันทำความดีสร้างความดี เมื่อความทุกข์ความเดือดร้อนเกิดขึ้นมา จะได้ใช้สติปัญญาแก้ไขปัญหาต่าง ๆได้ พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้เรารู้จักความทุกข์ แล้วหาเหตุของมัน เพื่อที่จะปฏิบัติให้ยอมรับความจริง เพื่อการปล่อยวางและเข้าถึงซึ่งวิมุตติในใจของเราเอง
๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔
 
 

                   ความกังวลต่าง ๆมันเกิดจากใจของเราเอง ใจมันทุกข์ทั้งที่เรื่องบางอย่างยังไม่เกิดขึ้น แต่ใจของเราวิตกกังวลไปก่อน หลายเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เหมือนสิ่งที่เราคิด บางเรื่องท่่ีคิดว่าดีกลับกลายเป็นร้าย บางเรื่องที่คิดว่าร้ายกลับกลายเป็นดี ดังนั้นจงฝึกปล่อยวางให้มาก ๆ เราจะได้พบกับความสุขที่เป็นของจริง ที่ไม่ต้องไปหาจากที่ไหน เมื่อเรามีสติพิจารณาด้วยความสงบเราจะรู้ว่า ความสุขหรือความทุกข์มันอยู่ที่ความคิดของเราทั้งสิ้น ดังนั้นเราจงพยายามฝึกจิตใจของเราให้เป็นอิสระต่อความผูกพันต่อสิ่งทั้งหลาย เพื่อที่จะทำให้เราชอบในสิ่งที่เรากลัว มีความสุขในสิ่งที่ชาวโลกคิดว่าเป็นความทุกข์ เป็นมุมมองที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้อย่างครบถ้วน พร้อมที่จะนำไปใช้ได้ตลอดเวลา เมื่อมีปัญหาที่ต้องแก้ไขในเหตุการณ์ต่าง ๆที่กำลังเกิดขึ้น
๑๒​ พฤศจิกายน ๒๕๕๔

 

 

    เมื่อวันที่ ๑๖ พ.ย.- ๔ ธ.ค. ๕๔ ได้มีโอกาสนำครูบาอาจารย์และญาตโยมจำนวน 72 รูป/คน ไปแสวงบุญประเทศอินเดีย ผู้ที่ร่วมเดินทางส่วนมากมีความปลื้มปิติยินดีที่ได้ไปแสวงบุญในครั้งนี้ เพราะได้ไปภาวนา ปฏิบัติเพื่อค้นหาความจริงของชีวิต ว่าสุดท้ายความจริงมันไม่มีอะไรเป็นของๆเราสักอย่างเดียว จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องอาศัยการเฝ้าสังเกต ดูรู้อารมณ์ที่มันเกิดขึ้นและดับไป บุญหรือบาปมันอยู่ที่ใจของเรา เม่ือหมั่นทำความดีจนถึงที่สุดแล้ว สุดท้ายความดีก็จะตอบสนองเราเอง และเราเองนั่นแหละเป็นผู้สร้างอะไรๆที่เราได้รับในปัจจุบัน
๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔

 

       เมื่อวานได้มีโอกาสไปที่วัดแห่งหนึ่ง มีสตรีท่านหนึ่งเดินเขามาหา แล้วพูดว่า “หนูมีความทุกข์เหลือเกิน สาเหตุเนื่องมา จากได้ไปทำแท้งมา” แล้วได้ขอเงินอาตมาเพื่อเป็นค่าเดินทางและค่าอาหาร จึงได้ให้ไปตามที่ขอ 
      อาตมาเอง มานึกถึงความทุกข์ที่ตนเองประสบมา ที่เป็นความทุกข์ความปวดร้าว “ที่เขาเรียกว่าใจจะแตก มันเป็นสิ่งที่ทรมานเหลือเกิน นอนไม่หลับ พลุดลุกพลุดนั่ง คิดถึงความผิดหวังที่เหมือนประหนึ่งว่า จะมาถึงในเดี๋ยวนี้ ใช้การภาวนาอย่างไรก็ไม่หาย และได้เกิดความคิดที่แก้ปัญหา ที่เกดขึ้น ค่อย ๆคิด ค่อย ๆ พิจารณา ” เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปเพียง 2 วัน ความทุกข์เหล่านี้ได้หายไป เนื่องจากสิ่งที่เราคิดนั้นมันเป็นความจริง เพราะส่วนมากตนเองได้ใคร่ครวญแล้วจึงทำ บางครั้งตนเองเป็นคนทำอะไร ทำเร็ว และไว มันก็มีผิดพลาดเป็นของธรรมดา แม้บางคนคิดและใคร่ครวญดีแล้ว ยังมีความผิดพลาดซึ่งเกิดขึ้นได้เสมอ การทำจิตให้อยู่กับปัจจุบัน นั่นแหละเป็นการแก้ไขปัญหาได้ดีที่สุด ความทุกข์เหล่านี้แหละ ที่จะสอนใจเราให้มีความสุขในภายหลัง

      ความทุกข์ของโยมคนนั้นช่างแสนสาหัสเหลือเกิน ต้องอาศัยเวลาเป็นรักษาแผลใจ นี่แหละสิ่งที่ไม่ดี เมื่อทำไปแล้วย่อมได้รับความทุกข์ในภายหลัง พระพุทธองค์จรึงทรงตรัสว่า “ความชั่วอย่าทำเสียเลยนั่นแหละเป็นการดี”

๑๒ มกราคม ๒๕๕๕

 

 

      วันนี้มีญาติโยม 3 คน เดินทางมาจาก จ.ลำปาง มีเรื่องที่น่าคิดที่โยมได้เล่าให้ฟังว่า มีพระคุณเจ้าที่ชาวกะเหรี่ยงนับถืออย่างมากองค์หนึ่ง ท่านป่วยไปรักษาตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ ท่านมีนิมิตว่าน้ำจะท่วมประเทศไทยในอีกไม่นานนี้ และอาจจะท่วมหนักกว่าคร้ังก่อน ๆ ท่านบอกว่ามีวิธีแก้ในเรื่องนี้โดยการที่จะต้องสร้างพระเจดีย์ ณ สถานท่ีแห่งหนึ่งให้เสร็จภายในไม่ช้านี้ และเจาะจงที่จะต้องไปสร้างที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะเสียด้วย อาตมาฟังดูก็น่าแปลกที่พระคุณเจ้าท่านรู้ได้อย่างไร ท่านบอกทั้งชื่อวัด สถานที่ ได้ถูกต้อง เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของอนาคต ผู้มีญาณอาจสามารถรู้ได้ ขอให้เราเป็นผู้ไม่ประมาท หมั่นสร้างความดีอยู่เสมอ แล้วความดีก็จะตอบสนองเราเอง

 

๑๘ มกราคม ๒๕๕๕

         หลวงพ่อสุสมะ ท่านเป็นพระมหาเถระกะเหรี่ยงที่อยู่ในประเทศพม่า ท่านเดินทางมาที่วัดและได้ดำเนินการสร้างพระเจดีย์ สูง 13 ศอก (6.5 เมตร) ปัจจุบันสร้างไปได้ 6 วัน คาดว่าอีกประมาณ 2-3 วันคงจะก่อถึงยอด ท่านบอกว่าคิดจะมาสร้างที่นี่ เมื่อ 23 ปีท่ีผ่านมา แต่ยังไม่ถึงเวลา บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ท่านมีญาณหยั่งรู้ในสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถที่จะรู้ได้ ท่านได้เล่าให้อาตมาฟังหลายอย่าง เกี่ยวกับสถานที่ที่กำลังสร้างอยู่นี้ว่ามีความสำคัญอย่างไร
       เมื่อหลวงพ่อมาสร้างมีญาติโยม โดยเฉพาะชาวกะเหรี่ยงมาร่วมทำบุญกับท่านเป็นจำนวนมาก บางวันมาถึงประมาณ 300-500 คน ได้มีการนำหิน ทราย น้ำ ปูน ฯ ขึ้นไปก่อสร้าง นับว่าท่านเป็นผู้ที่มีบุญบารมีเป็นอย่างมาก อีกไม่กี่วัน คงจะแล้วเสร็จ ทั้ง ๆที่ท่านมีสุขภาพไม่่ดีมาเป็นเวลา 20 กว่าปี       แต่ท่านก็มีใจสู้ต่ออุปสรรคทั้งหลายอย่างไม่ย่อท้อ หัวใจของท่านเกินร้อย น่าอนุโมทนาในความดีของท่านที่ทำเพื่อความผาสุขของพุทธบริษัททั้งหลาย

๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ 

 

 

       ได้มีโอกาสขึ้นไปบนยอดเขาในวันนี้ โดยการนำเอาทรายขึ้นร่วมก่อนพระเจดีย์ มีพวกญาติโยมขึ้นไปเป็นจำนวนมาก (ประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ คน) เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาหลวงพ่อท่านนั่งรับแขกอยู่ในเต้นท์ ในเวลานั้นมีฝนตกลงมาเล็กน้อย ซึ่งอาตมาได้ไปที่ ธนาคาร อ.ลี้(ไปถอนเงินท่ีญาติโยมโอนเงินร่วมทำบุญ สร้างพระเจดีย์ )ปรากฏว่าในตอนเช้า ฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก ที่ อ.ดอยเต่า ก็เช่นเดียวกัน
      ในขณะท่ีฝนกำลังโปรยลงมานั้น หลวงพ่อสุสมะได้สวดมนต์ประมาณ ๑๐ นาที ปรากฏว่าฝนได้หยุดตก และเป็นเช่นนี้ตลอดระยะเวลาที่ท่านขึ้นไปอยู่บนยอดเขา ในตอนเย็นหลวงพ่อสุสนะได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบำรุงราศ ในตอนเย็นนั่นเอง เพราะอาการของโรคปอดที่ท่านเป็นมา ๒๐ กว่าปี
๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕

 

     ตอนเช้าได้มีโอกาสโทรฯไปหาลูกศิษย์หลวงพ่อสุสมะ สอบถามถึงอาการของท่าน ได้รับทราบว่าท่านมีอาการดีขึ้น และหลวงพ่อมีกำหนดที่จะยกยอดฉัตรบนยอดเขาตะเมาะ ในวันศุกร์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์นี้
    พระทาเก่ เป็นพระภิกษุชาวญี่ปุ่น ได้มาอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะ  ท่านรู้จักทางวัดหลายปีมาแล้ว ท่านได้มีโอกาสขึ้นไปช่วยหลวงพ่อสุสมะสร้างพระเจดีย์บนยอดเขาตะเมาะโจ ในตอนเย็นวันนี้ได้มีโอกาสพูดกับท่าน ท่านเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องที่ท่านได้ยินเรื่องราวของหลวงพ่อสุสมะ ที่พวกกะเหรี่ยงเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อองค์นี้เป็น พระมหาเถระที่ชาวพม่าส่วนใหญ่ทั้งประเทศเคารพนับถือท่านเป็นอย่างมาก เพราะท่านเป็นผู้ที่มีบุญบารมีที่เคยสั่งสมมาทั้งในอดีตและปัจจุบัน ทราบมาว่าวันหนึ่งท่านจำวัดหลับนอนประมาณ ๒ ชั่วโมง ปีหนึ่งจะสรงน้ำ(อาบน้ำ)เพียง ๓ ครั้งเท่านั้น ท่านเป็นผู้ที่มีความสามารถพิเศษ ที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถทำได้อย่าง 
   พระเทเก่ท่านมีความกลัวในเร่ืองของภัยธรรมชาติเป็นอย่างมาก เพราะท่านได้ยินครูบาอาจารย์พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ท่านได้สอบถามเรื่องนี้กับหลวงพ่อสุสมะ ท่านเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อบอกว่าเมื่อสร้างพระเจดีย์องค์นี้(พระเจดีย์ “สิรเกศา” )เสร็จแล้วภัยพิบัติต่างๆที่จะเกิดขึ้นในเร็ว ๆนี้ (เกิดขึ้นทั่วโลก) จะเลื่อนออกไปอีก ๖ ปีเป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายไม่สามารถหลีกเลี่ยงความหายนะที่จะเกิดขึ้นได้ อย่างแน่นอน
   อาตมาได้รับฟังจากครูบาวงศ์ในสมัยท่านมีชีวิตว่า กรุงเทพน้ำจะท่วมเป็นทะเล ชายหาดจะมาถึงนครสวรรค์ อาตมาคอยเฝ้าดูเหตุการณ์เหล่านี้มาตลอด และเมื่อประมาณเดือนเมษายน ๒๕๕๔ ที่ผ่านมานี้ อาตมาได้มีโอกาสอ่านจดหมายของพระชาวต่างชาติท่ี่ท่านปฏิบัติธรรมอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย ที่ท่านเขียนถึงลูกศิษย์ท่านที่อยู่กรุงเทพว่า “ให้ญาติโยมหาที่ที่ปลอดภัยทางภาคเหนือ ภาคอีสาน เพราะภาคกลางและภาคใต้อาจเกิดภัยพิบัติต่าง ๆอย่างมากมายในอนาคตอันใกล้นี้ และได้ฟังครูบาอาจารย์อีกหลายองค์พูดเรื่องในทำนองนี้
     เรื่องเหล่านี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ แต่เราก็อย่าประมาทขอให้ตั้งใจทำความดี เพื่อที่ภัยพิบัติต่างๆ ถ้าเกิดขึ้นจริงอาจจะทำให้เราปลอดภัย หรือจากหนักให้กลายเป็นเบา หมั่นปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ให้ความดีนั้นติดตัวเราไปทุกภพทุกชาติ นับแต่วันนี้ จนเข้าถึงซึ่งพระนิพพานทุกคนทุกท่านเทอญ
๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕

 

    ในช่วงระยะสองเดือนที่ผ่านมา อาตมามีความรู้สึกว่าตนเองยังปฏิบัติธรรมน้อยเกินไป จึงได้ปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องทั้งกลางวันกลางคืน รู้สึกว่าจิตใจเยือกเย็นสบายเป็นอย่างดี ได้ค้นหาที่พึ่งที่แท้จริงในใจของตนเอง ซึ่งที่พึ่งอื่นคงจะไม่มีอีกแล้ว ได้น้อมนำเอาข้อปฏิบัติที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้ฤาษีนารกะได้ปฏิบัติคือ ให้เห็นคนทั้งหญิงชายสัตว์ทั้งหลายเช่น หมู หมา กา ไก่ ฯ ว่ามีสถาพเช่นเดียวกัน ได้พินิจพิจรณาธรรมบทนี้อยู่เนื่องนิจ ทำให้รู้ว่าคนเรานั้นที่มีความทุกข์ก็เพราะความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลายนั่นเอง ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา แต่ที่แท้จริงนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของของเราสักอย่างเดียว ตัวยึดมั่นนั่นเองทำให้เกิดอุปาทาน ธรรมชาติแห่งการปล่อยวางนำมาซ่ึงความสุขอย่างยิ่ง พระพุทธองค์ทรงค้นพบธรรมชาติอันนี้นั่นเอง จึงได้มีพระมหากรุณานำธรรมทั้งหลายเหล่านี้มาแสดงให้พุทธบริษัทได้ปฏิบัติตาม แต่เป็นแนวทางที่ต้องใช้ความเพียรเป็นอย่างยิ่ง ดั่งท่ีผู้รู้ได้กล่าวไว้ว่า “ผู้มีความเพียรอันเลิศ ย่อมได้รับผลอันเลิศ”
๗ เมษายน ๒๕๕๕   

 

 ผู้ใดทำใจให้ถึงความเป็นกลางได้  ผู้นั้นจะพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
ผู้ที่จะพ้นจากทุกข์ใดในโลกนี้          ก็ล้วนแล้วแต่ยกทุกข์ขึ้นมาเป็นเหตุ
แท้จริงความนึกคิดไม่ใช่ทุกข์         แต่การไปยึดความนึกคิดมาเป็นของตน  จึงเป็นทุกข์
หลวงปู่เทศก์ เทสรังสี
๒๙ เมษายน ๒๕๕๕

 

        ประมาณ ๑ อาทิตย์ที่ผ่านมา อาตมามีความระลึกถึงพระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป วัดอรัญวิเวกเป็นอย่างมาก เพราะไม่ได้ไปกราบท่านประมาณ ๖ เดือน และในตอนเย็นวันนี้ พระอาจารย์กานต์ ผู้เป็นพระอุปัฏฐากพระอาจารย์เปลี่ยน ได้โทรฯไปหาอาตมาที่วัด ท่านได้บอกว่า พระอาจารย์เปลี่ยนถามถึง   และได้มีโอกาสสนทนากับพระอาจารย์เปลี่ยนทางโทรศํพท์อีกด้วย นับว่าเป็นความกรุณาของพระอาจารย์เป็นอย่างยิ่งที่เป็นห่วงลูกศิษย์เช่นอาตมา
            อาตมาได้กราบเรียนท่านพระอาจารย์ว่า ประมาณ ๓-๔ เดือนมานี้จิตไม่ค่อยดีเท่าที่ควร เพราะมีความสับสนในการกระทำเกี่ยวกับการกุศลบางอย่าง จึงได้เร่งความเพียรปฏิบัติอย่างเต็มที่ และปัจจุบันหายสงสัยแล้ว ว่าสมควรที่จะดำเนินชีวิตของตนเองอย่างไร 
            กราบขอบพระคุณพระอาจารย์ด้วยความเคารพเป็นอย่างสูง
๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕

 

            ความสับสนที่อาตมาคิดไม่ตกสืบเนื่องมาจาก อาตมามีความปรารถนาตั้งแต่สมัยที่อายุ
ประมาณ ๒๐ ปี เกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยยาสมุนไพร เพราะเห็นโยมข้างบ้านได้นำยา
ช่วยคนป่วยที่เป็นโรคร้าย มีอาการดีขึ้นมาหลายราย เมื่อมาบวชจึงได้มีโอกาสนำยาไปช่วยคน
เป็นเวลาประมาณ ๓๐ ปีมาแล้ว และมีการวิจัยพัฒนายาสมุนไพรเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
            อาตมามีความสับสนว่าสิ่งที่ตนเองกระทำนั้นเป็นการถูกต้องหรือไม่ บางท่านก็ว่าดี
บางท่านก็ว่าไม่สมควรทำ การที่อาตมาได้ปฏิบัติธรรมอย่างหนักจึงได้รู้ว่า “ความทุกข์ทั้งหลาย
เกิดขึ้นมาจากการที่เราไปสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นของของเรา จึงได้มีการปรุงแต่งเรื่อยไป”
ถ้าเราไม่มีความสำคัญมั่นหมายเสียแล้ว จะไม่มีอะไรให้เราได้ปรุงแต่งอีกต่อไป ทุกอย่างก็จะจบ
แต่เพียงเท่านี้
            สำหรับการช่วยเหลือคนนั้น อาตมาสรุปได้ตรงที่ว่า ตนเองเน้นการปฏิบัติเป็นหลักใหญ่
เรื่องการช่วยเหลือเป็นเรื่องรองลงมา อาศัยการบารมีของการภาวนาปฏิบัตินำหน้า ทำให้ความรู้สีก
สบายใจเป็นอย่างมาก และสิ้นสงสัยในสิ่งเหล่านี้
๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕

 

           เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๕​ ได้มีโอกาสไปกราบพระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เนื่องจากท่านได้ถามถึงอาตมาที่ไม่ได้ไปกราบท่านหลายเดือน พระอาจารย์ได้สอบถามถึงเรื่องการปฎิบัติธรรม จึงได้กราบเรียนท่านว่า ในระยะ 3-4 เดือนที่ผ่านมา ได้ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด และ พยายามหาที่พึ่งในตนเอง จนทราบแน่ชัดว่า ความทุกข์มันเกิดจากอารมณ์ใจของเราที่ไปยึดต่ออารมณ์ต่าง ๆ จึงได้ทราบว่าครูบาอาจารย์ในอดีตและปัจจุบัน กว่าที่จะได้คุณธรรมต้องมีความเพียรอย่างหนัก    เอาความตายเป็นที่ตั้ง พระอาจารย์เปลี่ยนท่านเมตตาสั่งสอนว่าสิ่งท่ีปฏิบัติอยู่นั้นถูกต้องดีแล้ว ขอให้ปฏิบัติต่อไป ท่านเมตตามอบผ้าไตรให้ 1 ชุด รองเท้า 1 คู่ อังสะกันหนาวและหมวก อีก 1 อัน ขอขอบพระคุณในความเมตตาเป็นอย่างยิ่ง
      ได้กราบเรียนถามท่านอีกว่า มีโยมคนหนึ่ง ชอบนิมิตว่าครูบาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้มาหาแล้ว แล้วสั่งให้อาตมาทำอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้จะเป็นจริงหรือไม่ ท่านพระอาจารย์ท่านได้เมตตาพูดให้ฟังว่า เรื่องโยมคนนี้ทำต้องรีบแก้ไข เพราะมันไม่ใช่หนทางเพื่อมรรคผลนิพพาน จิตตอนนี้หลงไปเสียแล้ว ถ้ายังติดอยู่จะไม่ได้อะไรดีขึ้นมาเลย มีแต่ความหลง ควรจะอยู่กับปัจจุบันให้มาก ๆ ดูให้เห็นความทุกข์ หาเหตุแห่งความทุกข์ และหาทางดำเนินไปเพื่อให้ถึงความพ้นทุกข์จะดีกว่า
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ 

 

   ความสำเร็จมั่นอยู่ที่ใจของเรา ถ้าใจเราดีทำอะไรที่คิดว่าดี ส่วนมากจะสำเร็จทุกอย่าง ขอให้ใจเราดีเป็นใช้ได้ เพราะใจดีมันจะเรียงลำดับความคิดไว้อย่างเป็นระเบียบอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว
๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕

กราบนมัสการหลวงพ่อค่ะ
      กรรมของลูกนะคะหลวงพ่อ รักใครไม่เคยสมหวัง มีหลายแบบหลายมุม ทำดีแค่ไหนเหมือนปิดทองหลังพระค่ะ  กับคนนี้เขาเหมือนไม่แคร์ความรู้สึกลูก เขาไม่เคยคิดเอาใจเขาใส่ใจเราเลยแม้แต่น้อย เขานึกจะทำอะไร แสดงออกอะไร ตามใจตนเอง ผิดกับลูกตอนนี้เสียสละทุกอย่าง ยอมทุกอย่าง เอาธรรมะเข้ามาข่มใจได้บ้างไม่ได้บ้างค่ะ เก็บกดมากนะคะหลวงพ่อ ลูกน้ำตาไหลคนเดียวหลายๆครั้งบางครั้งคิดว่าชีวิตเรา ทำไมไม่มีคนรักเราจริง ทั้งๆที่เราจริงจังจริงใจกับเขา กับทุกๆคน  บางครั้งรู้สึกน้อยใจเสียใจมากๆๆๆก็ได้คำสอนครูบาอาจารย์มาเตือนสติ ไม่ให้ฟุ้งซ่าน หลวงพ่อคะ ลูกเหนื่อยมากค่ะเหนื่อยทั้งกาย และตอนนี้เหนื่อยทั้งใจ เริ่มท้อแท้ ทำดีไม่ได้ดี คืออะไรค่ะ แต่ลูกก็ยังยึดมั่นทำดีต่อเพราะสติมาค่ะมีใครสักกี่คนที่เข้าใจ และเห็นใจลูกมีใครสักคนที่คิด ที่เห็นใจ ห่วงใยลูกมีใครบ้างที่เห็นการกระทำความดีทุกๆอย่างของลูก ยอมเสียสละแม้ชีวิตมีใครบ้างจะเห็นคุณค่าของลูก  

ท้ายสุด...ลูกคิดเอาเองว่า มีสติทำดีต่อ ขาดสติก็ตายสถานเดียวค่ะ

        บางครั้งที่เรารักและห่วงใครบางคน กลับกลายเป็นความจู้จี้จุกจิกสำหรับเขา  บางครั้งเราทำเป็นไม่สนใจ กลับเป็นสิ่งที่ดี  เพราะบางคนต้องการความสงบ ต้องการความคิดของตนเอง ต้องการอยู่กับตนเอง ผู้หญิงกับผู้ชายมักมีอะไรที่สวนทางกันเสมอ การที่เรารักเขาห่วงเขา ก็เพราะจิตของเรามีความวิตกกังวลไปต่าง ๆนา ๆ ซึ่งเราคิดว่าเป็นส่ิงที่ดี  แต่สิ่งนี้มันจะทำลายด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าเราเข้าใจกฏแห่งกรรม  เห็นกรรมของแต่ละคนต้องได้รับตามกรรมของตน ใจของเราจะสงบระงับยิ่งขึ้น แก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น รู้จักพูดทำในส่ิงที่พอได้ ไม่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเกิดความลำคาญ การที่เราเป็นเช่นนี้ไม่ต้องไปโทษใคร ต้องโทษใจของเราที่ไม่เข้าใจตัวเองต่างหาก  จงพยายามหยุดดูตนเองให้มากๆ จนพยายามรักตนเอง ดูแลลูกและตนเอง จงเป็นผู้นำของตนเอง ตอนนี้สามีต้องเป็นช้างเท้าหลัง เพราะเขายังไม่มีอะไรที่จะเป็นผู้นำได้ในขณะนี้ ให้คิดว่าเมื่อถึงคราวตกอับย้งมี่หลวงพ่อที่คอยช่วยอยู่เสมอ
ด้วยความปรารถนาดี
หลวงพ่อ นพดล  ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๕

 

เมื่อให้แล้วอย่าคิดว่าได้คืน เมื่อไม่ได้คืนจะได้ไม่ผิดหวัง ความเป็นเพื่อนก็ไม่ถูกทำลาย และเราก็คงไม่อยู่คนเดียว ทำอะไรให้คิดแต่สิ่งที่ดี แล้วใจเราจะเป็นสุขตลอดไป
๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕

    รู้สมมุติ อยู่กับสมมุติิ ปล่อยวางสมมุติ วิมุตติย่อมเกิดขึ้น

๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕
 
 

      เมื่อวานนี้ญาติโยมที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน(นายเรืออากาศ) ได้มาเยี่ยมที่วัด ได้เล่าถึงสิ่งที่หลวงพ่อครูบาวงศ์ ท่านพูดถึง ธรรมชาติของโลกที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตว่า ต่อไปภายหน้าอาจจะเกิดเหตุการณ์ต่างๆดังนี้คือ น้ำจะท่วม ไปจะไหม้ พายุใหญ่ พยาธิ(เจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ) อดอยาก ระเบิด ซึ่งบางเรื่องอาตมาได้รับฟังจากท่านเช่นกัน
    ที่เขียนให้ทราบนี้มิใช่ว่าจะให้ตกใจกลัว แต่ต้องการให้เราพยายามสร้างความดี ให้มากๆ ถ้าเหตุการณ์เหล่านี้ไม่เกิดขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเกิดขึ้นมาเราจะได้เตรียมใจรับกับปัญหาต่างๆได้อย่างมีสติ

๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕  

       พระคุณเจ้าท่านหนึ่งได้บวชที่วัดอาตมาผ่านมาแล้ว ๑ พรรษา ท่านได้เล่าให้ฟังถึงประวัติของตนเอง(รวมทั้งญาติของท่านเล่าให้ฟัง )  โดยปกติเป็นคนที่เอาแต่ใจตนเอง  มักทำอะไรในทางที่ไม่ถูกไม่ควร  เป็นคนขี้หงุดหงิดใจร้อน  ทำให้เป็นที่ลำบากใจสำหรับผู้เป็นพ่อแม่เสมอ    เมื่อไปอยู่ที่วัดนิสัยเดิมๆก็ยังมีอยู่  แต่ในปัจจุบันท่านกลับตัวกลับใจเป็นคนดี  อยู่ในระเบียบวินัยที่ดีของทางวัด   จึงนับว่าคนเรานั้นแม้จะไม่ดีมาก่อน  ยังสามารถกลับตัวกลับใจเป็นคนดีได้  ถ้าตนเองมีความตั้งใจและปรารถนาที่จะทำความดี
๒ มกราคม  2556

                  พระคุณเจ้าที่กล่าวถึงในข้างตนนี้   อาตมาต้องใช้อุบายในการแก้ไขนิสัยหลายอย่างในการปกครองดูแล  มีทั้งพระเดชและพระคุณ  ซึ่งเร่ืองการแก้ปัญหานี้ใช้ในกาลเฉพาะหน้า  ไม่เคยวางแผนล่วงหน้ามาก่อนถ้าเราหมั่นปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ  จะมีตัวรู้เกิดขึ้นมาในใจเรา  สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆได้
                  นอกจากอาตมาจะช่วยแนะนำสั่งสอนแล้ว  ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยช่วยแก้ปัญหาให้อีกด้วย  ดังจะขอเล่าให้ฟังดังนี้
                  โดยปกติที่วัดที่อาตมาอยู่ ครูบาวงษ์ท่านเล่าให้ฟังว่า วัดแห่งนี้ผู้ที่มาอยู่จะต้องทานอาหารมังสะวิรัติเท่านั้น  พระองค์ดังกล่าวนี้ท่านมักทำผิดกฏบางอย่างของทางวัด  เช่นนำเนื้อสัตว์ที่บิณฑบาตได้เอาไปฉันส่วนตัวและเรื่องอาบัติบางอย่างที่ไม่ร้ายแรง  ท่านได้มาสารภาพทั้งน้ำตาเมื่อประมาณ ๑ อาทิตย์ที่ผ่านมาว่า  ท่านได้หลับฝันไปว่า
                  ความฝันครั้งแรกมีมาหมาป่า มาหาท่าน ๑ ตัว เข้ามาจะมากัด แต่ไม่สามารถทำอะไรได้  ความฝันครั้งที่ ๒ มาป่ามา ๔ ตัวจะมาทำร้ายท่านเช่นเดียวกันแต่ไม่สามารถทำอะไรได้  ความฝันครั้งที่ ๓ หมาป่ามากันเป็นฝูงกำลังจะมาทำร้ายท่่าน  แต่มีคนแต่งชุดขาวท่านหนึ่งเดินหมาขวางฝูงหมาป่านั้น  พวกหมาเหล่านั้นสงบนิ่งไม่ทำอะไรอีกต่อไป
                  และสิ่งที่ทำให้ท่านต้องแก้ไขตนเอง  ในทันทีก็คือ ในคืนวันหนึ่งเวลาประมาณ ตีหนึ่ง (๐๑.๐๐ น.) ในขณะที่ท่านกำลังจำวัด(หลับ)  ท่านได้ยินเสียงเด็กร้องอยู่ข้างนอก  และเสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ  จนนอนไม่
หลับ และด้วยความโมโห จึงได้พูดตะโกนออกไปว่า  ใครนะแน่จริงออกมาเลย  ท่านลุกขึ้นไปเปิดไฟให้สว่างแล้วเดินออกไปดูข้างนอก  ท่านได้ยินเสียงเด็กหัวเราะอยู่ด้านหน้าท่านแต่ไม่ปรากฏตัวให้เห็น เมื่อท่านจะกลับเข้าห้อง  ท่านแสงสีขาวออกมาจากต้นไม้ฟุ่งมาแล้วหยุดตรงหน้าท่าน  มีเสียงผู้หญิงพูดออกมาจากแสงนั้นว่า“ถ้าท่านยังฉันเน้ือสัตว์  ท่านจะอยู่นี่ไม่ได้อีกต่อไป วิธีแก้ต้องไปถามเจ้าอาวาสหรือคนแต่งขาวในวัดว่าจะแก้ไขอย่างไร” หลังจากพูดจบแสงนั้นค่อย ๆหายไป
                  วันรุ่งขึ้นท่านได้มาหาอาตมา  และสารภาพด้วยน้ำตาว่าต่อนี้ไปจะกลับตัวกลับใจเป็นคนดี  จะทำตามระเบียบของทางวัดทุกอย่าง  และท่านก็ได้ทำตามที่ท่านพูดไว้ทุกประการ  เป็นที่เบาอกเบาใจของครูบาอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง 
๓  มกราคม ๒๕๕๖

            ได้ทำวัตรสวดมนต์เย็นที่ลานหน้าพระธาตุเจดีย์หิน ๓ ครูบา ซึ่งจะทำการยกยอดฉัตรในวันที่ ๑๘ มกราคม นี้  หลังจากสวดมนต์เสร็จแล้ว  ได้แสดงธรรมประมาณ ๔๕ นาที และนั่งสมาธิต่อ (รวมเวลาประมาณ ๒.๓๐ ชั่วโมง)  อากาศเย็นสบายใจเบาจิตเบาเป็นอย่างมาก  อาตมาอยู่ที่วัดแห่งนี้เข้าปีที่ ๓๑  หลวงพ่อครูบาวงศ์ แห่งวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ได้เมตตาบอกว่า วัดนี้เป็นวัดที่เหมาะสมในการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างมาก  อาตมาเพิ่งมาเป็นประจักษ์เป็นเช่นนั้นจริง ในเย็นวันนี้นั่นเอง  เนื่องโดยรอบได้ปรับปรุงสถานที่ให้เป็นสัปปายะแก่การปฏิบัติธรรม  ผู้ร่วมปฏิบัติทุกคนก็มีความคิดเช่นเดียวกัน
                  ที่วัดค่อยๆมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่หลวงพ่อชุชนะ ได้สร้างซุ้มประตูหน้าวัด  ทำให้ผู้ผ่านไปมา  แวะเวียนขึ้นไปบนวัดเพื่อกราบรอยพระพุทธบาทมากขึ้น และต่างชมว่าสถานที่เป็นธรรมชาติดีมาก ซุ้มประตูและมณฑป ๘๔ ยอด เจดีย์หิน ๓ ครูบา สวยงามมากที่จริงแล้วทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ  ถ้าใจดีแสียแล้ว สิ่งภายนอกก็จะดีตามไปด้วยเสมอ  จึงสมควรรักษาใจเราให้ดีตลอดไป
๘ มกราคม ๒๕๕๖

 

เมื่อวานโยมหน่อยโทรฯมาหา  ปรารถถึงลูกชายที่เป็นโรคออธิสติก  ได้ส่งไปอยู่ที่ ร.พ.ศรีธัญญาเพราะมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว  ทุบตีสิ่งของที่อยู่ตรงหน้า  ต้องให้อยู่ในความดูแลของหมอ  โยมคนนี้มีความทุกข์ใจเป็นอย่างมาก  เพราะต้องพลัดพรากจากลูกอันเป็นสุดที่รัก  เมื่อก่อนไปไหน เอาเขาไปด้วย นี่ขนาดยังไม่ตายจากกันยังทุกข์เช่นนี้  ถ้าตายจากกันจะทุกข์มากหลายเท่าทวีคูณ พระพุทธองค์จึงทรงสั่งสอนให้เราไม่ประมาทต่อชีวิต  เพราะความตายอาจมาถึงเราได้ตลอดเวลา และถึงแม้ลูกจะเป็นอย่างไร  แม่ก็ยังมีความรักและความห่วงใยให้ลูกเสมอ  ลูกจะเลวจะร้ายอย่างไรก็ยังเป็นลูก  จึงนับว่าพ่อแม่เป็นผู้มีพระคุณอย่างสูงสุดสำหรับลูกเสมอ
๙  มกราคม ๒๕๕๖

              ได้มีโอกาสพาครูบาอาจารย์และญาติโยมจำนวน ๓๘  รูป/คน ไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย เนปาล เพื่อนมัสการสังเวชนียสถาน ๔  การไปในครั้งนี้และทุกๆ ครั้งท่ีผ่านมา  คณะที่ร่วมแสวงบุญเกือบทุกท่าน  ต่างมีความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง  เพราะได้ไปปฏิบัติธรรมเป็นพุทธบูชา  ได้เรียนรู้ชีวิตที่แท้จริงในตนในตัวของตนเอง  รู้หนทางแห่งการหาที่พึ่งในตนในตัวในจิตในใจของตนเอง  ซึ่งเป็นที่พึ่งท่ีหาได้ยากยิ่งนัก  หลายคนต่างปิติน้ำตาไหลนองหน้าเพราะธรรมปิติ  ดังนั้นจึงไม่เป็นการแปลกใจเลยที่  มีผู้ที่เดินทางไปแล้วและไปอีกอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย  ในสถานที่ดังกล่าวมานี้
๑๕  มีนาคม ๒๕๕๖

 วันที่เดินทางกลับวัดจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ โดยรถส่วนตัว ระหว่างได้แวะเขาห้องน้ำเป็นระยะๆ  เมื่อถึงนครสวรรค์ ได้แวะเข้าห้องน้ำเช่นเดียวกัน  แต่สิ่งที่อาตมาได้พบคือ  มีเด็กหญิงคนทราบในภายหลังว่าอายุ ๖ ขวบ ได้วิ่งมายกมือไหว้ แล้ววิ่งกลับไปหาพ่อของตน  อาตมาจึงเดินเข้าไปหาแล้วได้นำเอารอกเก็ตพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ที่นำมาจากประเทศอินเดียไปมอบให้  ได้พบกับพ่อของเด็กน้อยคนนี้ พร้อมกับพ่อและพี่ชายอายุ ๑๑​ ปี  พ่อของเขาเมื่อได้พบอาตมาพูดขึ้นมาทั้งน้ำตาว่า  ภรรยาของตน (อายุ ๓๙ ปี) ได้หลอกให้ตนเองไปหย่าที่อำเภอหนึ่งในจังหวัดจันทบุรี ทั้งที่ไม่ได้มีเรื่องโกรธแค้นอะไร  หลังที่ได้หย่ากันแล้วจึงทราบว่าหญิงคนนี้ ไปคบชู้สู่ชาย  และได้ชายคนนี้เป็นสามี ไม่ยอมเลื้ยงดูลูกทั้งสองคน  ตนเองเมื่อทราบความดังกล่าวนี้จึงได้นำลูกทั้งสองขี่มอเตอร์ไซร์เก่าๆคันหนึ่ง  นำลูกทั้งสองวิ่งมุ่งหมายที่จะไป จ.ลำปาง  ซึ่งเป็นบ้านเกิดของตน  เพราะทราบดีว่าถ้าขืนอยู่ต่อไปคงได้ฆ่าคนแน่ๆ อาตมามองดูบุคคลทั้งสามแล้วเกิดธรรมสังเวชเป็นอย่างยิ่ง  ที่ตัณหาราคะของผู้เป็นแม่สามารถทำได้ถึงเพียงนี้  ไม่คิดเลยว่ามนุษย์บางคนมีจิตในที่ต่ำช้ายิ่งกว่าสัตว์เสียง  จึงได้มอบเงินช่วยเหลือ ๕๐๐ บาท  และได้แต่ปลงเสียว่า สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ใครทำกรรมอันใดไว้  ดีหรือชั่วย่อมได้รับผลของกรรมนั้นอย่างแน่นอน
๑๖  มีนาคม  ๒๕๕๖

 ในช่วงนี้มีเรื่องราวอื้อฉาวของพระรูปหนึ่ง  จนเป็นที่กล่าวขานตามหน้าหนังสือพิมพ์และทางสื่อเป็นอย่างมาก  แม้ทางวัดจะไม่มีหนังสือพิมพ์ และไม่ได้ดูโทรทัศน์  แต่ก็ทราบข่าวจากญาติโยมได้เล่าให้ฟัง  อาตมาคิดว่าโอกาสนี้แหละเป็นโอกาสของตนเองที่ต้องเร่งทำความดีให้มาก ๆ  เพราะวิกฤติที่ไม่ดีย่อมเป็นโอกาสของผู้ที่มีปัญญาเสมอ  ผู้ท่ีศรัทธาในพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า  ไม่ควรที่จะหวั่นไหวในสิ่งเหล่านี้  เพราะมันมีมาแล้วตั้งแต่อดีต  และก็จะมีอีกต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน
       เรื่องของพระภิกษุก็เช่นเดียวกัน  อาตมาได้มีโอกาสสมาคมกับพระคุณเจ้าที่มักเรียกตนเองว่าเป็นผู้เคร่งครัดในธรรมวินัยเป็นอย่างมาก แต่เมื่อคบไปหลายปีเข้า  จึงเห็นธาตุแท้ของบางท่านบางองค์ที่ต่อหน้าทำอย่างหนึ่งส่วนลับหลังทำอีกอย่างหนึ่ง  จนบางครั้งอาตมาเกิดความเบื่อหน่าย  และเคยพูดกับพระคุณเจ้าว่า ส่ิงที่อาตมากลัวที่สุดก็คือผ้าเหลืองด้วยกันเองนี่แหละ  หลายปีต่อมาจึงคิดว่าพระที่ท่านดีก็มีมาก  ส่วนที่ไม่ดีก็เป็นเรื่องของท่าน  เมื่อรู้ว่าไม่ดีก็อย่าเข้าใกล้  คิดในทางที่ดีจะทำให้จิตใจของเราเกิดความสบายใน  การมองโลกในแง่ดีนับว่าทำให้เรามีความสุขและความสบายในเป็นอย่างยิ่ง
๑๖  กรกฎาคม ๒๕๕๖

 วัดอาตมามีพระภิกษุชาวญี่ปุ่นอยู่กันมาสิบกว่าปี  และมักมีพระคุณเจ้าและญาตโยมชาวญี่ปุ่น  แวะเวียนไปปฏิบัติธรรมที่วัดอยู่เสมอ  และในช่วงนี้เช่นกันที่พระคุณเจ้าชาวญี่ปุ่นที่คนไทยเคารพนับถือ  ต้องมีเหตุสึกออกไปมีครอบครัวตามที่ชนทั้งหลายทราบกันอยู่  ที่จริงแล้วน่าที่จะยกย่องท่าน  ที่ท่านไม่ทำให้ตนเองเกิดความมัวหมองในเพศของสมณะ  เรื่องของกามตัณหา  เป็นเรื่องที่หลุดพ้นได้ยาก อาตมามัก เปรียบเทียบอารมณ์ของกามตัณหา(การเสพสมระหว่างหญิงกับชาย)  ว่าอารมณ์จุดทีี่ชนทั้งหลายกล่าวว่าสุดยอดที่สุดในทางโลก  และอารมณ์แห่งความสุขอักเกิดจากสมาธิน้ันใกล้เคียงกัน  แต่อารมณ์ทางโลกียสุขมีเพียงไม่กี่นาทีดังที่ผู้เคยมีอารมณ์เหล่านี้ย่อมทราบกันเป็นอย่างดี  แต่ความสุขอันเกิดจากสมาธิ(อัปนาสมาธิ)  เป็นความสุขที่ร่มเย็นทั้งวันทั้งคืน  ดังที่ครูบาอาจารย์ท่านได้กล่าวไว้เสมอ  ดังนั้นอารมณ์ทางโลกจึงเทียบกับความสุขที่เกิดจากทางธรรมไม่ได้เลย
๑๗  กรกฎาคม ๒๕๕๖

ความทุกข์ของคนในโลกนี้มีมากเหลือเกิน  ทุกข์อย่างแสนสาหัสเหลือเกิน  ขอยกตัวอย่าง เช่น
ชายคนหนึ่งอายุ ๖๋๓ ป   รู้จักกันมานานประมาณ ๓๐ ปี  โยมคนนี้มีลูกสาวอายุ ๒๐ กว่าปีกำลังเรียน
ใกล้จบ ปริญญาตรี  และต่อมาได้มีภรรยาใหม่และมีลูกชาย อีก ๒ คน กำลังเรียนอนุบาลและชั้นประถม
ตนเองและภรรยา มีอาชีพที่ไม่มั่นคง เป็นภาระในการหาค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก  ครั้งล่าสุดได้โทรมาเล่าให่้ฟังถึงชีวิตที่แสนเข็ญ น้ำประปาถูกตัดเพราะไม่มีเงินไปชำระ มองหาหนทางดู
แล้วแทบเอาตัวเองไม่รอด
               อาตมาได้มีโอกาสช่วยเหลือเป็นบางครั้ง  แต่ภาระทางวัดที่มีมากจึงไม่สามารถช่วยได้ในภาย
หลัง สังเกตุดูโยมคนนี้ทำไมถึงทุกข์ยากเช่นนี้  พิจารณาดูเห็นว่า  โยมคนนี้ชอบแต่งตัวดี(เกินฐานะ)  ชอบพูดคุยว่าตนเองมีความรู้ความสามารถหลายอย่าง (ไม่อ่อนน้อมถ่อมตน)  มีอยู่ครั้งหนึ่งได้มอบ
ปัจจัย(ที่มีผู้ถวายไว้ใช้ส่วนตัว) ให้จำนวนหนึ่ง  โยมคนนี้พอวันรุ่งขึ้นได้ซื้อของขบฉันมาถวายมากพอ
สมควรซึ่งเป็นบุญกุศลก็จริงอยู่   แต่พิจารณาแล้วว่าไม่รู้จักการประมาณตนเอง  ควรที่จะเก็บเงินไว้
ใช้กับครอบครัว และพูดจาทำให้คนไม่น่าสงสาร  เรื่องเหล่านี้คงสอนกันยาก  การสอนที่ดีที่สุดนั่นคือ
ปล่อยให้อดอยากมากๆ ส่ิงเหล่านี้ตนเองเป็นคนทำก็สมควรที่จะรับผลกรรมนั้น  เคยแนะนำทางออกไป
แล้ว  แต่่ตนเองก็ทำไม่ได้เพราะพูดคำว่าตนเองเป็นพ่อต้องรับผิดชอบในเรื่องเหล่านี้  อาตมาคิดในใจว่า
ตัวเองเอาแทบไม่รอดอยู่แล้ว  กลับไปแบกคนอื่นให้หนักยิ่งขึ้น  และจะให้คนอื่นไปรับภาระในส่วนนี้
ด้วย  มันคงไม่ยุติธรรมอย่างแน่นอน
๑๙  พฤศจิกายน  ๒๕๕๖

            โยมอีกคนหนึ่งเป็นหญิงมีลูกสาว ๒ คน ได้เลิกกับสามีและมีสามีใหม่  ตนเองต้องเป็นหัวหน้า
ครอบครัวทั้งหมด  ป่วยไข้ไม่สบายต้องดูแลตนเอง  ลูกป่วยสามีป่วยก็ต้องดูและ ต้องออกไปขายของ
หาเงินมาเลี้ยงครอบครัว  จัดหาอาหารให้ลูกและสามี  ดูแลเรื่องเสื้อผ้า  ทำหลายสิ่งหลายอย่างด้วยความ
เหนื่อยยาก  หลายครั้งได้โทรมาเล่าให้ฟัง  อาตมาได้หาทางออกให้เช่นเดียวกัน แต่ตนเองยังทำไม่ได้  ทางเลือกที่แนะนำให้คงเป็นทางเลือกสุดท้าย  รับรองได้ว่าพระคุณเจ้า(อาตมา)คงจะรับภาระที่หนัก
อย่างแน่นอน  ถ้าคนเหล่านี้ไปไหนไม่รอด  ของดีๆอยู่ในวัดก็เอาออกไป ของ
ไม่ดีก็เอามาให้พระคุณเจ้าแก้ไข  ซึ่งเป็นเช่นนี้มาตลอด  จงรับกรรมไปเถิดพระคุณเจ้า  แต่ก็เป็น
โอกาสอันดีที่ได้พิสูจน์  พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์สามารถแก้ใขปัญหาได้อย่างแท้จริง
๒๐ พฤศจิกายน  ๒๕๕๖

              โยมจึ๊ด(นามสมมุติ)ได้มาอยู่ที่วัด  ซึ่งภรรยาได้มาส่งให้ช่วยแก้ไขด้านสภาพจิตใจท่ี่ซึมเศร้า
เมื่ออยู่วัดปฏิบัติธรรม  อาการต่างๆเริ่มดีขึ้น  โยมคนนี้ชอบขอโทรศัพย์(ของคนงานในวัด) โทรไปหา
ภรรยาอยู่เสมอ  และได้พูดกับอาตมาว่า “เมียผมทิ้งผมแล้ว  ผมขออยู่กับอาจารย์ไปจนตายนะครับ)  ฟัง
ดูแล้วก็ได้แต่ปลงอนิจจัง พูดไม่ออก  บอกไม่ถูก อะไรจะเกิดก็ให้มัันเกิด  ถ้าเรามองคนเหล่านี้เป็นขยะ
ที่ไร้คุณค่า  มันก็จะเป็นขยะเช่นนั้นตลอดไป  แต่ถ้าเรามองว่าของมีค่าได้มาหาเราแล้ว  เราก็จะพัฒนา
ศักยภาพที่ดีที่มีอยู่ในคนทุกคน  เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ที่ดีต่อตนเองและสังคมสืบไป เราจะมีความ
สุขใจที่ได้ช่วยคนเหล่านี้ ดังนั้นถ้าบุคคลใดที่เข้ามาสัมผัสวัดทั้งหลาย  แล้วเห็นสิ่งที่ไม่ถูกใจ
ขอให้รู้เสียว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างมีเบื้องหลังทั้งนั้น”
๒๑ พฤศจิกายน  ๒๕๕๖ 

            โยมอาจารย์ นลินี รู้จักอาตมาประมาณ ๓๐ กว่าปี  ได้มีโอกาสพบโยมเมื่อวานนี้  โยมได้เล่าถึงความ

หลังในหลายๆเรื่อง  รวมถึงธรรมะที่ได้เคยสนทนากัน  เช่่นมีอยู่ครั้งหนึ่งประมาณ ๕ ปีที่ผ่านมา  โยม
ไปปฏิบัติธรรมที่พุทธคยาประเทศอินเดีย  ในขณะที่โยมมีความตั้งใจในการปฏิบัติธรรม  มีความมุ่งมั่น
ที่จะทำให้เกิดมรรคผล มีความตั้งใจสูง จนเกิดความเคร่งเครียดหาทางออกไม่ได้  และได้มีโอกาส
สนทนาธรรมกับอาตมา  จึงได้แนะนำให้จับอารมณ์แห่งความสบายใจ นั่งยืนเดินนอนให้ทำใจให้สบาย
การปฏิบัติไม่ต้องมุ่งหวังว่าจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ 
            หลังจากที่ได้รับฟังแล้วจึงได้นำไปปฏิบัติ  ปรากฎว่าอารมณ์ใจมีความสบายเป็นอย่างมาก และ
เป็นเช่นนี้อยู๋หลายวัน  และตั้งแต่นั้นมาจึงได้ปฏิบัติเช่นนี้มาตลอด ทำให้ความเครียดนั้นลดน้อยลงเป็น
อย่างมาก  จึงได้อธิบายให้ฟังว่า อารมณ์แห่งความสบายใจ  ตามที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้สั่งสอนนั้น
เมื่อได้พิจารณาดูจึงได้รู้ว่า  เมื่ออารมณ์สบายใจเกิดขึ้นแก่บุคคลใด  ในความสบายนั้นจะไม่มี  ความรัก
ความชัง ความโกรธ  ความเกลียด ในใจของบุคคลนั้นๆเลย  สรุปว่าเป็นอารมณ์ของทางสายกลาง
นั้นเอง  ถ้าทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆทำให้ใจของบุคคลคนนั้นย่อมเข้าสู่กระแสแห่งมรรคผลนิพพานในที่สุด  นี้เป็นคำสอนของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย  ตามที่ได้ศึกษาและปฏิบัติมาตั้งแต่เริ่มต้น
๒๕ พฤศจิกายน  ๒๕๕๖

บทกลอน อินเดีย
มาต้นโพธิ์กราบลงที่ตรงหน้า มุ่งหมายว่าถวายองค์พระชินสีห์
ปฏิบัติบูชาแต่ความดี ชุ่มชีวีมีพระธรรมค้ำหนุนตน
ชนต่างชาติต่างภาษามาหลายหลาก มากันมากจากทั่วทุกแก่งหน
น้อมพระธรรมศึกษาในหมู่ชน หวังหลุดพ้นกิเลสหายจางคลายไป
ในยามเช้าที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ชนมากโขบูชาธรรมนำใส่ใจ
นั่งยืนเดินสวดมนต์มุ่งแก้ไข สิ่งใดใดชั่วร้ายกลับกลายดี
น้อมพระธรรมย้ำคิดที่จิตนี้ ใจเปรมปรีดิ์ละปล่อยวางทุกถ้วนถี่
ก่อให้เกิดความสุขเพิ่มทวี. ตามวิถีแห่งธรรมพระสัมมา
17 มีนาคม 2557. 06.39 น. 

ใบต้นโพธิ์นั้นเืองและร่วงหล่น เปรียบหมู่ชนนั้นต้องตับลับจางหาย
เกิดเท่าไหร่ไม่เหลือแม้สักราย จะต้องตายตามกาลที่ผ่านไป
จงทำดีแข่งกับกาลเวลา. ซึ่งมันคร่าทุกทุกสิ่งไม่เหลือไซร้
บุญและบาปเท่านั้นย่อมเอาไว้ ไม่มีใคร่ช่วยได้นอกจากตน
17 มีนาคม 2557. 06.55 น.

 หยุดภาวนาในใจให้ใสสุด. หยุดที่จุดปัจจุบันตัวเราหนา
หยุดเพื่อหาความจริงต่างต่างนา หยุดพึ่งพาภายนอกบอกใจตน
หยุดให้เห็นความทุกข์ในตัวเรา เพ่งดูเฝ้าหาเหตุที่วกวน
ละปล่อยวางให้ได้หลายหลายหน ความหลุดพ้นมีได้ดังหมายปอง
ภาวนาตรงนี้และที่นี่ อยูตรงที่กายใจมิเศร้าหมอง
สุขสว่างสงบเมื่อเฝ้ามอง อาจจับต้องสุขได้ในอุรา
ภาวนาในใจได้สุขแท้ มิผันแปรหาเหตุมิโง่เขลา
รู้ในรู้ทำให้ใจเราเบา กำหนดเอาย่อมรอดปลอดบ่วงมาร
18 มีนาคม 2557. 11.45 น.

ภาวนาปีติสุขเกิดในจิต. คำนึงคิดซาบซ่านทั่วขุมขน
เพิ่มปิติให้ได้ในใจตน ความสัยสนย่อมหายจางคลายไป
18 มีนาคม 2557. 11.55 น. 

ต้น กำเนิดแห่งพระธรรมอันล้ำเลิศ
พระ บรรเจิดสว่างสงบไสว
ศรี. วิสุทธิ์ผุดผ่องเป็นยองใย
มหาโพธิ์ ใสเพราะธรรมพระสัมมา
19 มีนาคม 2557 07.07 น.

 จิตสว่างกลางใจใครยากรู้. เมื่เฝ้าดูในจิตอยู่เสมอ
จิตในจิตทำสติมิพลั้งเผลอ จะพบเจอสิ่งดีงามตามพระธรรม
19 มีนาคม 2557 07.14 น.

 ฝรั่งแขกจีนไทยจากหลายที่. ต่างมุ่งมีบาธรรมล้ำเลิศยิ่ง
สมาธินั่งเดินเพลิดเพลินจริง สงบนิ่งดิงลงตรงกลางใจ
19 มีนาคม 2557 07.20 น.

 สวดมนต์ภาวนาพาสงบ. จะได้พบแสงธรรมฉ่ำชุ่มชื่น
มีสติรู้จริงอย่าทนฝืน. ธรรมยั่งยืนเพราะน้อมนำทำจริงจริง
19 มีนาคม 2557 07.27 น.

 สายลมพัดใบโพธิ์ร่วงพื้นล่าง. หยิบแล้ววางใส่ไว้ลงในถุง
สายลมมีในกายย่อมเรืองรุ่ง. หมดเรื่องยุ่งเพราะลมหายจากกายตน
20 มีนาคม 2557 13.00 น.

 พวงดอกไม้เรียงรอบที่ต้นโพธิ์. สัมพุทโธผู้รู้ตื่นเบิกบาน
บูชาธรรมพระชินสีห์ทุกคืนวัน. จิตสราญเพราะพระธรรมนำใจตน
20 มีนาคม 2557 13.20 น

 หายใจเข้ากำหนดรู้ดูที่จิต. คำนึงคิดปล่อยวางว่างเสมอ
หายใจออกเห็นไตรลักษณ์มิพลั้งเผลอ. จะพบเจอแสงธรรมผ่องอำไพ
20 มีนาคม 2557 17.04 น

 แม่ชีน้อยพม่ามากันมาก. มิจรจากมาบูชากันมากหลาย
ห่มชุดชีสีชมพูดูสบาย. ต่างมุ่งหมายคลายทุกข์สุขนิรันดร์
20 มีนาคม 2557 18.10 น.

 จิตหมั่นดูรู้ที่ใจใช่ที่อื่น. ทุกวันคืนเฝ้าดูรู้ทุกสิ่ง
ฝึกสติสัมปชัญญะอย่างยอดยิ่ง. ทุกทุกสิ่งสำเร็จได้ดั่งหมายปอง
20 มีนาคม 2557 18.16 น.

ชีวิตที่สิ้นหวัง

คนเราเกิดมาในโลกนี้ ย่อมประสบกับความสุขความทุกข์คละเคล้ากันไป แล้วเราควรทำตัวของเราอย่างไร ???

ปัญหาของแต่ละบุคคลนั้นย่อมไม่เหมือนกัน คนจนก็มีปัญหาแบบคนจน คนรวยก็มีปัญหาแบบคนรวย มีหลายคนจะพยายามทำให้คนมีความเสมอภาคกัน เมื่อเจอะปัญหาลึกๆของแต่ละบุคคลจะเห็นว่า แต่ละคนมีปัญหาที่แตกต่างกันไป เรื่องเงินทอง เรื่องสุขภาพ เรื่องการคบคน ปัญหาเหล่านี้มันรุมเร้าจิตใจของมนุษย์อยู่ทุกเวลานาที บางคนรู้ว่าอยู่กับสิ่งนี้แล้วมันทุกข์ ก็ยังทนอยู่สาเหตุเพราะมีเงื่อนไขแห่งใจบางอย่างที่มันอาจจะบอกให้ใครฟังไม่ได้ ฟังเรื่องต่างๆแล้วก็มีแต่ปัญหาทั้งนั้น สับสนและวุ่นวายตลอดเวลา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสสั่งสอนให้ชนทั้งหลายผู้มีศรัทธา จงเตรียมใจพร้อมใจที่จะรับกับปัญหาเหล่านี้ อย่าวิ่งหนีปัญหา การวิ่งหนีปัญหาคงไม่ต่างอะไรกับการวิ่งหนีเงาตนเอง ซึ่งหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น ปัญหาต่างๆยิ่งเพิ่มทวีคูณ เพราะจิตที่มันเก็บไว้ในตัวเราที่มันเพิ่มทวีขึ้นทุกวันตามกาลเวลา

เมื่อเราไม่หนีปัญหา และดูมันด้วยความมีสติ วิเคราะห์พินิจพิจารณาด้วยเหตุและผล เราจะเห็นปัญหาต่างๆตามความเป็นจริง พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนทางที่จะรอดปลอดภัยไว้หลายประการ ตั้งแต่ผู้ครองเรือนควรทำเช่นไร พ่อ แม่ สามี ภรรยา พี่ น้อง นายจ้าง ลูกจ้าง ควรประพฤติปฏิบัติตัวกันเช่นไร เพื่อให้ตนเองมีความสุขในสภาวะเช่นนั้นๆ ตาของเรามีไว้ดู หูของเรามีไว้ฟัง เท้าเอาไว้เดิน ปัญหาต่างจะไม่เกิดขึ้นถ้ารู้จักหน้าที่ของตนเอง แต่ถ้าทำอะไรก้าวก่ายกันย่อมเกิดปัญหาอย่างแน่นอน ผู้มีหน้าที่ของความเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง ฯ ถ้ามีการก้าวก่ายหน้าที่กันย่อมทำให้เกิดปัญหาต่างๆอย่างไม่รู้จบ

หน้าที่ของมนุษย์ที่เกิดมาพบพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหน้าที่ที่จะทำตนเองให้พ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย ย่อมปฏิบัติในเรื่องของ ทาน ศีล ภาวนา หรือในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อทำจิตใจของตนเองให้เข้มแข็งขึ้น พิจารณาธรรมตามความเป็นจริง ธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน มีถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ แต่รวมย่นย่อลงมาเหลือมรรคมีองค์แปด จากมรรคมีองค์แปดรวมย่อลงมาเหลือ ศีล สมาธิ ปัญญา และจาก ศีล สมาธิ ปัญญา รวมย่อลงมาเหลือ จงมี "สติ" อยู่ที่ปัจจุบัน ในบรรดาธรรมทั้งหลายทั้งปวง เราจะหนีคำว่าปัจจุบันไปไม่ได้เลย

การมีปัจจุบัน เพื่อที่จะเรียนรู้ตนเอง เรียนรู้ความผูกพันในใจของตน เรียนรู้หนทางรอด หนทางแห่งความเป็นอิสระ หนทางที่จะทำให้ทุกข์ลดน้อยถอยลงจากใจของเรา คำว่า "สติ" จึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ทุกวันนี้ในใจของอาตมาคิดและพิจารณาอยู่สองอย่างคือ " จับก็ทุกข์ ปล่อยก็สุข" เพราะธรรมชาติของจิตที่เป็นจริงตลอดกาลคือ จิตที่ไปจับสิ่งใดๆมันเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ และจิตที่เป็นอิสระต่อความผูกพันทั้งหลายเป็นเหตุนำมาซึ่งความสุข และเป็นบรมสุขอย่างยิ่ง

เมื่อเรามีสติพิจารณาสิ่งเหล่านี้ตามความเป็นจริง สุขหรือทุกข์เราสามารถเลือกได้ แล้วแต่ว่าเราจะเลือกเอาอะไร ความผุดผ่อง ความดีงาม มีสำหรับผู้ที่ไม่ประมาทต่อชีวิต ผู้หวังความสุขที่แท้จริงที่จะก้าวเดินต่อไป ดังนั้นหนทางอันประเสริฐจะบังเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยความมีสติ ในอันที่จะทำตนให้อยู่ในความไม่ประมาทตลอดไป

เจริญพร 2 ก ย 2557

 

ความคิด......กองขยะ

ความคิดของเรา... ทำอย่างไรจึงจะไม่ทุกข์เพราะความคิด???

อาตมาเองมักมีปรกติที่ทำจิตของตนเองให้ปล่อยวาง เพราะภาระกิจที่ต้องทำในปัจจุบันนั้นมีมาก เคยมีอารมณ์ที่ตนเองเป็นทุกข์เพราะความคิดที่คิดแล้วไม่รู้จักปล่อยวาง คืออาตมาชอบช่วยเหลือสังคมตั้งแต่สมัยที่บวชใหม่ๆจนถึงปัจจุบัน และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ต้องรับภาระในหลายๆด้าน ต้องใช้งบประมาณในการทำพอสมควร อาตมาเป็นทุกข์กับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เป็นทุกข์ทั้งวันทั้งคืน และคิดแต่เรื่องที่เป็นลบคือเรื่องที่ไม่ดี คิดเช่นนี้อยู่หลายวัน จนคิดว่าความคิดของเรานั้นมันเป็นจริง ความทุกข์อย่างมากจึงเกิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อปัญหาต่างๆเกิดขึ้นมา จึงใช้ปัญญาแก้ไขสิ่งเหล่านี้ อะไรที่ผูกพันมากเกินไปก็ตัดทิ้งเสีย และพยายามรับภาระให้น้อยที่สุด แต่สิ่งที่ช่วยเหลือไปกลับเป็นสิ่งที่ดีในปัจจุบัน

อารมณ์ของความทุกข์เหล่านี้ จึงเป็นบทเรียนสอนใจตนเอง และเข้าใจสภาวะความทุกข์ของบุคคลอื่นว่าเขาทุกข์อย่างไร และควรวางจิตของตนเองเช่นไร เมื่อทุกคนรู้จักความคิด แต่ถ้าไม่รู้จักคำว่าปล่อยวาง เอาความคิดทั้งหมดมาอยู่ในใจของเรา บางคนเมื่อเกิดปัญหาแล้วแก้ปัญหาไม่ได้ เกิดความทุกข์อย่างแสนสาหัส จนคิดค่าตัวตายก็มี เป็นบ้าไปก็มี

ปัญหาต่างๆเหล่านี้เราต้องรู้จักคิดให้เป็น คิดแล้วให้ใจเราสบาย ใคร่ครวญเรื่องต่างๆเสียก่อนแล้วจึงทำ อย่าใจร้อนวู่วามใจ และต้องฝึกการปล่อยวาง เพราะความคิดของเรา ถ้าเก็บมันไว้มาก ก็ไม่ต่างอะไรกับกองขยะที่ทับถมอยู่ในใจของเรา พระพุทธองค์ทรงสอนให้รู้จักการปล่อยวาง ภาระหน้าที่ต่างๆอาจมีมากมายที่ต้องทำ วันหนึ่งๆเราต้องฝึกการปล่อยวางวันละ 5 หรือ 10 นาที ก็ได้ ฝึกทุกๆวัน การเช่นนี้เพื่อให้จิตของเรามีพลังที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างดีและมีคุณภาพ เราจะทำงานแต่ละอย่างด้วยความมุ่งมั่น ด้วยความเพลิดเพลิน เมื่อเกิดปัญหาอะไรที่ต้องแก้ไข ขอให้เราใช้สติค่อยแก้ปัญหานั้นๆ และตั้งสติให้อยู่กับปัจจุบันให้มากๆ เพื่อให้จิตใจของเราตั้งมั่นอยู่ในความดีงามเสมอ แม้ความทุกข์ความลำบากจะบังเกิดขึ้นมามากเพียงใดก็ตามที เราจะใช้คำว่าปัจจุบันทุกขณะจิต แก้ไขปัญหาต่างๆไปได้ ด้วยความถูกต้องและดีงามได้ตลอดไป เจริญพร

พระมหานพดล สิริวัฑฒโน

4 กันยายน 2557

 

ความสำเร็จ....นั้นเพราะเหตุไร

เมื่อเราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง จะให้ประสบความสำเร็จนั้นควรทำเช่นไร????

อาตมาทำพระเจดีย์หิน 3 ครูบา ซึ่งสร้างจากหินทรายตั้งแต่ปี พ.ศ.2531 จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่สำเร็จ เหลือการแกะในส่วนรายละเอียดอีกไม่มาก การที่คนเราจะทำอะไรให้สำเร็จสักอย่างหนึ่ง ผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์มาย่อมทราบเป็นอย่างดีว่า เป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งนัก ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านได้สอนมาว่า การทำกิจการอะไรสักอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นทางโลกหรือทางธรรม ควรทำแต่น้อยๆไปก่อน อย่าทำอะไรใหญ่โตเสียทีเดียว เพราะถ้าทำลงไปแล้วเกิดความเสียหายจะได้เสียหายไม่มาก

คนเราส่วนมากทำอะไรแล้ว ชอบคาดหวังว่าจะทำสำเร็จ วาดวิมานในอากาศ ทำอะไรตามความอยากของตนเอง ทำอะไรทำใหญ่ๆ บางรายกู้หนี้ยืมสินมาเป็นจำนวนมาก ถ้าประสบความสำเร็จได้ก็ดีไป แต่มีอยู่หลายรายที่ขาดทุนอย่างย่อยยับ ต้องเป็นหนี้สินอย่างมากมาย

อาตมารู้จักกับบุคคลคนหนึ่งที่จะทำอะไรแล้วชอบทดลอง เมื่อเห็นอะไรดีก็ทดลองทำทีละน้อยๆ เมื่อไม่สำเร็จก็หาสิ่งอื่นทำต่อไป สิ่งใดที่ทำแล้วสำเร็จค่อยๆขยายผลออกไป ทีละน้อยๆและเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ทำนั้นดีจริง จึงได้ทำใหญ่ๆในภายหลัง การที่จะทำเช่นนี้ได้ผู้ทำต้องมีความอดทนอดกลั้น กาลเวลาที่มันผ่านไปนับเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ จนมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่กระทำนั้นอย่างแจ่มแจ้ง การงานที่กระทำย่อมมีความผิดพลาดที่น้อยมาก

อีกอย่างหนึ่งที่ช่วยกิจการต่างๆให้สำเร็จนั่นคือบุญกุศล ที่ต้องหมั่นสร้างอยู่เสมอ เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์ด้วยตาเปล่าอาจจะไม่เห็น หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้อย่างไร การทำความดีนั้น ผู้ที่กระทำย่อมได้รับความชุ่มใจ สบายใจเพราะความที่ตนเองเป็นผู้เสียสละ ความดีที่กระทำนั้นมีอยู่มากมาย เคร็ดลับแห่งความสำเร็จเหล่านี้มันซ่อนอยู่ในธรรมชาติที่คนทั่วไปยากที่จะหยั่งรู้ แต่สิ่งเหล่านี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงทราบเป็นอย่างดี ดังนั้นผู้ที่มีศรัทธาในพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ ต้องมีความเชื่อมั่นในสิ่งเหล่านี้ แม้บางครั้งดูเหมือนจะปราศจากเหตุผล ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่ผู้ที่มีความเชื่อมั่นย่อมแจ้งประจักษ์ด้วยตนเอง มีอะไรๆในเรื่องกฏของธรรมชาติที่เรายังไม่รู้อีกมาก ดังนั้นจงสร้างศรัทธาให้เกิดแล้วเดินตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ เพราะพระธรรมที่พระองค์ทรงสั่งสอนนั้นแม้กาลจะล่วงเลยมาสองพันกว่าปีไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่เล็กน้อย จึงสมควรที่เราจะกระทำตาม เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของเราตลอดไป เจริญพร

6 กันยายน 2557

 

เมื่อเราปฏิบัติธรรมตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเรื่องของทาน ศีล ภาวนา หรือในศีล สมาธิ ปัญญา พิจารณา กฏของพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง(ไม่เที่ยง) ทุกขัง(เป็นทุกข์). อนัตตา(ไม่ใช่ตัวตน) เมื่อเราเห็นอารมณ์จิตของเรามากขึ้น เห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเรา เป็นสักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติ คือธาตุดิน(ผม ขน เล็บ ฯ) ธาตุน้ำ(น้ำเลือด น้ำเหลือง ฯ) ธาตุลม(ลมหายใจ ลมขึ้นบน ลมลงล่าง ฯ)

ธาตุไฟ(ไฟอุ่นกาย ไฟย่อยอาหาร ไฟแก่ชรา ฯ) เห็นว่าร่างกายนี้เป็นไปตามกฏแห่งธรรมชาติ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน และพิจารณาอารมณ์ในจิตของเรา ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ฯ ศึกษาอารมณ์ใจของเรา พิจารณาดูจิตของเราเช่นนี้เสมอ พิจารณาการปล่อยวางที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน เมื่อจิตของเราปล่อยวางเห็นธรรมชาติของจิตที่ปล่อยวาง เมื่อวางถูกธรรมชาติแห่งความสุขจะเกิดขึ้นมาในใจของเรา เราจึงมีความศรัทธาเชื่อมั่นในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว ปฏิบัติเฝ้าดูจิตไปเรื่อยๆ เมื่อจิตของเราละเอียดขึ้น แม้อารมณ์ของจิตที่ไปผูกพันต่อสิ่งใดๆ จิตมันจะเร่าร้อน ไม่สงบ และรู้แจ้งในอารมณ์ที่ปล่อยวาง ที่เป็นอิสระต่อความผูกพัน ว่าอารมณ์นี้ทำให้ใจเราเป็นสุข ดังที่พระองค์ทรงตรัสสั่งสอน ถึงผู้มุ่งหวังปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ ต้องการความสุขที่แท้จริง พิจารณาธรรมที่ว่า สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ แปลว่า ธรรมอันบุคคลไม่ควรยึดมั่นถือมั่นนั่นแหละ เป็นธรรมที่ผู้มุ่งหวังการปฏิบัติพึงพิจารณาอยู่เนื่องนิจ ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงทราบแจ่มชัดว่า ธรรมชาติแห่งการปล่อยวาง ธรรมชาตินั้นเป็นเหตุนำมาซึ่งความสุข และเป็นบรมสุขอย่างยิ่ง ธรรมชาติเหล่านี้เคยประสบกับอาตมาเสมอๆ ดังนั้นความศรัทธาในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์จึงไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนแต่อย่างใด มีแต่นับวันจะเพิ่มมากขึ้น สิ่งเหล่านี้เราต้องพิสูจน์ด้วยตัวของเราเอง เพราะพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ทนต่อการพิสูจน์ได้ตลอดไป

เจริญพร

7 กันยายน 2557

 

ทำไมจึงต้องปล่อยวาง

มีโยมคนหนึ่งรู้จักกันมาประมาณ 20 ปี ได้ปรารภให้ฟังว่า ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ทำไมตนเองจึงเป็นที่สนใจของเพื่อนๆ และผู้ที่ได้พบ ได้สนทนากัน ได้สอบถามอาตมาหลายครั้งหลายหน อาตมาได้พิจารณาดู ตามความรู้สึกที่ได้พิจารณาเห็นว่า โยมคนนี้มีการเปลี่ยนแปลงจิตใจไปในทางที่ดีขึ้น รู้จักการปล่อยวาง ซึ่งอาตมาได้สั่งสอนในเรื่องนี้อยู่เสมอๆ อำนาจของการปล่อยวางย่อมมีอานิสงส์มาก บุคคลใดก็ตามที เมื่อพิจารณาการปล่อยวางและปฏิบัติตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน และถ้าปล่อยวางได้ตามที่ศึกษามา จิตของคนนั้นจะเบิกบานและแจ่มใส แม้เป็นปุถุชนคนธรรมดาก็ตามที ยิ่งวางมากยิ่งสุขมาก เมื่อตนเองได้สัมผัสหรือพูดคุยกับใคร กระแสแห่งความชุ่มเย็นนี้ จะแทรกเข้าไปในอณูของบุคคลทั้งหลายที่ยังมีความพร่องอยู่ ย่อมได้สัมผัสความเย็นความสบาย ทำให้ตนเองมีความสบายไปด้วย สิ่งเหล่านี้นั้นเป็นธรรมชาติแห่งความจริงทั้งสิ้น ไม่มีใครสามารถแย่งกันได้ และไม่มีใครสามารถที่จะแกล้งทำได้ มันเป็นความบริสุทธิ์ของจิตทั้งสิ้น การปล่อยวางนั้นทำให้จิตตนเองมีความเมตตาทั้งต่อตนเองและบุคคลอื่น ดังนั้นพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นคำสอนที่ควรแก่การศึกษาและปฏิบัติตามตลอดไป เจริญพร

11 กันยายน 2557

 

ผู้ชาย.....นิสัยคล้ายแมว

ติ่งเป็นชื่อของโยมคนหนึ่ง ซึ่งได้ช่วยเหลืองานที่วัด โยมคนนี้รู้จักกันมาประมาณ 10 กว่าปี สาเหตุท่ีมาเพราะอยากเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ดีบางอย่างของตนเอง สิ่งแรกที่ต้องแก้ไขคือการติดสุราเรื้อรังที่ดื่มมานาน อาตมามักเปรียบเทียบเสมอว่า "นิสัยผู้ชายคล้ายกับแมว" คือถ้าเราสังเกตุแมว เวลาเราดึงไปข้างหน้า มันจะถอยหลัง เวลาดึงไปข้างหลัง มันจะไปข้างหน้า เวลาดึงข้างซ้ายมันจะไปข้างขวา เวลาดึงข้างขวามันจะไปข้างซ้าย เวลาดึงใต้ท้องมันจะขึ้นข้างบน เวลาดึงหลังมันจะลงข้างล่าง

นี่คือนิสัยของแมว ที่มีลักษณะคล้ายนิสัยของผู้ชายทั่วไป ที่ชอบดื้อรั้น ดันทุรัง รู้ว่าผิดก็ยังทำ ทำนองที่ว่า ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ โยมติ่งนี่ก็เหมือนกัน อาตมาไม่ได้สั่งสอนอะไร ปล่อยให้เขาอยู่กับธรรมชาติของเขา ให้เขาศึกษาจากคนรอบข้าง ซึ่งในพรรษานี้พระคุณเจ้าที่อยู่ด้วย ต่างมีความตั้งใจและช่วยเหลือกันเป็นอย่างดี และกาลผ่านไป โยมคนนี้ได้มาพูดให้ฟังว่ารู้สึกสบายใจที่ได้มาอยู่ที่นี่ อารมณ์รู้สึกเยือกเย็นขึ้น รู้จักผิดชอบชั่วดีมากขึ้น ตัวเขาเองบอกว่าไม่ชอบให้ใครมาว่า ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ ทั้งๆที่รู้ว่ามันผิดก็ยังทำ เขาบอกว่ามันสะใจดี

นี่แหละคือนิสัยของมนุษย์ที่เราจะต้องเรียนไม่รู้จักจบสิ้น สิ่งเดียวที่แมวยอมอย่างเดียวคือเมื่อเราจับแมวที่คอแล้วยกขึ้น มันจะไม่ขัดขืนแต่ประการใด ยอมให้จับแต่โดยดี เช่นเดียวกับผู้ชาย ต้องทำอะไรที่ถูกกับจริตนิสัยของเขา เขาจะไม่ขัดและจะยอมทำตามด้วยดี ดังนั้นเราจงศึกษานิสัยของคน ใช้คนให้ถูกกับงาน เพราะทุกคนย่อมมีสิ่งที่ดีในตัวของตัวเอง จงหาเพชรให้ได้ในตัวของเขา แล้วเราจะได้ใจของเขาตลอดไป จงเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส เมื่อสิ่งนั้นเข้ามาหาตัวเรา แล้วเราจะรู้ว่า สิ่งที่ดีๆย่อมซ้อนตัวอยู่ในสิ่งที่ไม่ดีนั่นเอง เจริญพร

17 ก ย 2557

 

กฏแห่งกรรม

เมือปัญหาเกิด.... ควรทำอย่างไร????

อาตมาเองเมื่อมีปัญหาที่ทำให้เราทุกข์ร้อนใจเกิดขึ้นมา หรือกำลังแก้ปัญหาที่เกิดเฉพาะหน้า อาตมามักจะไม่นึกถึงปัญหานั้นๆ แต่จะตั้งสติไว้ให้มั่น ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างออกจากใจของเรา เห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งสมมุติโลก(ถ้าเห็นอย่างนี้ได้จึง ปัญหาจึงเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรจะแก้ เพราะมันไม่มีอะไรในตัวของมัน แต่เราก็แก้ไปตามสมมุติโลก) เป็นที่น่าแปลกใจที่ว่าปัญหาทุกอย่างสามารถผ่านพ้นไปด้วยดี เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นหลายครั้งหลายหน จนอาตมามีความมั่นใจในพระธรรมที่พระองค์ทรงสั่งสอนว่าเป็นสิ่งดีจริง

และสิ่งหนึ่งที่อาตมาพิจารณาจนเกิดความเชื่อมั่นนั่นคือ"กฏแห่งกรรม" ถ้าเรามีความเชื่อมั่นในเรื่องนี้ เราจะไม่โทษใคร เพราะทุกอย่างเกิดจาดกรรมของเรา ที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้เพราะกรรมที่ได้ทำเอาไว้ ไม่ว่าดีหรือชั่วก็ตาม เราจึงควรสร้างเหตุที่ดี เมื่อเหตุดีแล้วผลย่อมดีตามไปด้วย ดังนั้นปัญหาทุกอย่างจะแก้ไขด้วยดี ด้วยการที่ไม่ต้องไปแก้ไขมัน เพียงแต่ตั้งสติให้ตั้งมั่น แล้วเราจะเกิดปัญญาสามารถแก้ไขปัญหาไปได้ด้วยดี เจริญพร

17 กย 2557

 

การเข้ากรรมฐาน

วันที่ 18 สิงหาคม 2557 พระอาจารย์ทาคาสิ มหาปุญโญ พระภิกษุชาวญี่ปุ่นได้อธิษฐานปิดวาจาเป็นเวลา 1 เดือน ที่ประะทศศรีลังกา อาตมาทราบข่าวจากโยม Chamil jayantha เด็กหนุ่มชาวศรีลังกา ผู้คอยดูแลอุปัฏฐากได้แจ้งให้ทราบ และวันนี้เป็นวันที่ท่านออกจากกรรมฐาน

พระอาจารย์ทาคาสิ ฯ ได้อยู่ร่วมกันมาปีนี้เป็นปีที่ 14 ท่านจะปฏิบัติเช่นนี้ทุกปีๆละ 1-3 ครั้งๆละ 10-30 วัน สิ่งที่ท่านได้รับจากการปฏิบัติธรรมคือ ได้รับความสุข ความสงบ รู้จักตนเอง การอยู่เฉยๆเพื่อดูตนเองเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เพราะเมื่อเราดูตนเองอยู่เสมอๆ กิเลสที่มันนอนเนื่องในสันดานของเราจะค่อยๆโผล่ขึ้นมาให้เราเห็น แล้วล้างมันออกไปจากใจของเรา การที่เราจะทำความดีนั้น เราต้องล้างสิ่งที่ไม่ดีออกจากใจของเราเสียก่อน เหมือนแก้วน้ำที่ยังมีสิ่งสกปรกอยู่ภายใน จำเป็นต้องนำออกไปทิ้งเสียก่อน จึงค่อยเอาสิ่งที่ดีเข้ามา ประโยชน์จากการอยู่กับตนเองจึงมีมาก เมื่ออยู่กับตนเอง ในเบื้องต้นเราจะพบกับความหว้าเหว่ ความเงียบเหงา ความเศร้าใจ และหลายๆอย่างที่ทำให้ใจเราเศร้าหมอง แต่เมื่อเราสลัดสิ่งเหล่านี้ออกไปได้ เราจะได้รับความสุขใจ ความสบายใจ หาที่พึ่งในใจของตนเอง สุดท้ายเราจะรู้ว่า สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี นี่แหละคือธรรมชาติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธองค์ทรงค้นพบเป็นพระองค์แรก และได้ทรงสั่งสอนเผยแพร่สืบๆต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน เจริญพร

18 กย 2557

 

อายุเป็นแต่เพียงตัวเลข

เย็นนี้โยมหวาหมอนวด(รักษาอาการ) ได้ไลน์ส่งรูปโยมคนนี้มา เป็นหญิงอายุ 74 ปี บอกว่าจะมาเรียนนวดแผนไทยเพื่อที่จะช่วยเหลือคน เพราะตนเองเคยป่วยปวดตามเนื้อตัว มารับการรักษาที่สถาบันได้ทานยาสมุนไพร และได้รับการนวดปัจจุบันอาการหายดีแล้ว อาตมารับฟังก็ได้แต่อนุโมทนา แค่มีจิตกุศลนั้นเป็นสิ่งที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง

โยมหวาหมอนวดจิตอาสาคนนี้ นับว่าเป็นผู้เสียสละที่ควรแก่การสรรเสริญ มาด้วยจิตอาสา ด้วยใจที่บริสุทธิ์ คนที่ไม่เคยเสียสละย่อมไม่รู้ว่าสิ่งที่เราจะได้รับ ที่มากกว่าเงินทองนั้นมีมากนัก มันเป็นความรู้สึกภายในที่ต้องมาสัมผัสเอง ความที่เสียสละนี้จะได้ทั้งมิตรภาพ การช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ทำงานก็ไม่เหนื่อยมาก (เวลาทำงาน 09.00 -16.30 น) จิตที่บริสุทธิ์ที่หวังช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ย่อมมีพลังอย่างมหาศาล จากการช่วยเหลือที่ผ่านมานับว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง

ป้ายด้านหน้าเขียนว่า"นวดฟรี" โดยสถาบันธรรมะเพื่อชีวิต แล้วจะอยู่รอดได้อย่างไร ผู้ที่อยากรู้ต้องมาสัมผัสเอง อาตมาครั้งแรกที่ทำก็ไม่คิดว่าจะไปได้รอด(เพราะมีทุนอยู่ก้อนหนึ่ง) แต่นับวันความจริงย่อมปรากฏ ว่าผู้ให้ที่ไม่หวังผลตอบแทน ย่อมได้รับสิ่งที่มีค่าที่สูงส่ง ซึ่งผู้ที่เสียสละเท่านั้นย่อมได้รับสิ่งเหล่าน้ี ขออนุโมทนาสาธุ กับผู้ที่เสียสละเหล่านี้ทุกๆคน เจริญพร

21 กันยายน 2557

 

ใครฉลาดกว่ากัน

มีญาติโยมบางคนบอกอาตมาว่า อาตมาสบายเหลือเกิน มีชีวิตที่อิสระอยากจะทำอะไรที่ตนเองชอบก็ทำ อาตมามาพิจารณาดูสิ่งที่ได้รับฟังมา ในใจก็คิดว่าตนเองน่าจะมีความอิสระมากกว่าฆราวาสทั่วไปอย่างแน่แท้ แต่ก็มาพิจารณาว่า สิ่งที่ตนเองทำอยู่นี้ เป็นสิ่งที่ชอบมากที่สุดแล้วหรือ เมื่อคิดดูก็ตอบได้ว่าเปล่าเลย สิ่งที่อาตมาปรารถนาสูงยิ่งกว่านี้มีอยู่ แต่ทำไมต้องทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน เหตุที่ทำเพราะเล็งเห็นประโยชน์ที่จะตามมาในอนาคต เพื่อส่วนรวมมิใช่เพื่อตนเอง แต่ขณะที่ทำจิตก็ปล่อยวางไปด้วย บุคคลคนหนึ่งมีความสุขทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพราะสิ่งที่ได้ทำลงไป มีความรู้สึกคุ้มค่า และอีกใจหนึ่งคิดว่าได้ตอบแทนความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อตนเองได้รับความสุขแม้เพียงเล็กน้อยจากพระธรรมของพระองค์ ก็อดไม่ได้ที่จะตอบแทนพระคุณความดี โดยการน้อมนำพระธรรมไปเผยแพร่เท่าที่จะทำได้

มีสิ่งหนึ่งที่มีครูบาอาจารย์ที่อาตมาคิดว่าท่านฉลาดที่สุด นั่นคือท่านผู้น้ันปฏิบัติธรรม ดูกายดูจิตของตน ละปล่อยวางกิเลสตัณหาอุปาทานออกจากใจของตน จนเข้าถึงความสุขความสงบ และเผยแพร่ธรรมโดยธรรม เป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่ประเสริฐที่สุดคือจิตของเรา และคงไม่มีอะไรที่จะถูกใจเราทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นเราจงพอใจในสิ่งที่เรามี เรามีหน้าที่อะไรก็ทำตามหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด เพราะคนส่วนมากชอบคิดอะไรไปก่อนล่วงหน้า ว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้คงจะดี แล้วก็วิ่งแสวงหาสิ่งที่ยังมาไม่ถึงอยู่ร่ำไป ไม่พอใจในปัจจุบันที่ตนเองมีอยู่ จึงหาความสุขที่แท้จริงได้ยาก จิตของเรามีปกติสอดส่ายไปมาหาที่สิ้นสุดไม่ได้ จนกว่าเราจะเห็นโทษเห็นภัยของมัน เราต้องอดทนอดกลั้นที่จะเรียนรู้อารมณ์นี้ตลอดไป เพื่อคลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เพื่อความสุขที่แท้จริงคือพระนิพพานด้วยกันทุกคนทุกท่านด้วยเทอญ เจริญพร

22 กันยายน 2557

 

ยามที่ใจเศร้า

ทุกคนย่อมมีสุขมีทุกข์คละเคล้ากันไป ปัญหาต่างๆย่อมรุมร้อนจิตใจของมนุษย์ในรูปแบบต่างๆสารพัดอย่างที่จะมี เมื่อมีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นสิ่งที่ดีที่สุดคือตั้งสติให้มั่น เชื่อมั่นในความดีที่เราทำ ปัญหาที่เกิด(ภายในใจของเรา)ไม่ต้องไปแก้มัน ปล่อยมันไปตามธรรมชาติของมัน เฝ้าดูมันด้วยความเป็นกลาง แล้วธรรมชาติจะแก้ปัญหาด้วยตัวของมันเอง เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ เจริญพร

25 กันยายน 2557

 

การตัดสินใจ....ในสิ่งที่ทำ

การที่อาตมาจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง บางครั้งเมื่อคิดแล้วก็ลงมือทำเลย จนบางคนคิดว่าทำอะไรไวเกินไป ไม่ไคร่ครวญให้รอบครอบเสียก่อนจึงลงมือทำ แต่ส่วนตัวอาตมาแล้ว เมื่อนึกย้อนไปในอดีตนั้น ไม่เคยคิดเสียใจในสิ่งที่ตนเองทำไปเลย เป็นธรรมดาที่การทำอะไรนั้นอาจจะสมหวังบ้าง ไม่สมหวังบ้าง แต่ถ้าพิจารณาแล้วจะเห็นว่าการทำอะไรจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่การเรียนรู้อารมณ์และใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า

สำหรับอาตมาเอง ทุกๆครั้งที่มีสติระลึกตนเองได้นั้น จะทำจิตของตนเองให้ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง ดูสิ่งโดยรอบตัวเราตามความเป็นจริง ปล่อยให้จิตของเราอยู่โดยความเป็นกลาง ไม่รักไม่ชัง ไม่โกรธ ไม่เกลียดใคร ทั้งสิ้น จะทำเช่นนี้อยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน เมื่อคนเรามีสติเฝ้าระลึกถึงตนเองอยู่เสมอ จิตใจของเราจะเข้าสู่ธรรมชาติแห่งความเป็นจริง เป็นการมองอะไรโดยไม่ลำเอียง จึงมีความเที่ยงธรรมอยู่ในใจของตนเอง ดังนั้นเมื่อมีอะไรมากระทบและสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายหรือดีก็ตาม จิตจะแก้ปัญหาของมันได้ทันทีโดยอาศัยความรู้สึกที่เกิดออกมาจากจิต แล้วทำสิ่งนั้นลงไป ซึ่งความผิดพลาดจะไม่มีเลย มีแต่ความถูกต้องเสมอ ยกเว้นถ้าจิตไม่มีความสงบ ความผิดพลาดอาจย่อมมีเกิดขึ้นมาได้ สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ เพียงแต่ใครสามารถเข้าถึงและสัมผัสได้ แล้วเราจะทราบว่าความมหัสจรรย์ของธรรมชาติที่เรายังไม่เข้าถึงยังมีอยู่อีกมาก ความลับนั้นอยู่ใกล้แค่นี้เอง เพียงแต่เรานั้นหมั่นเฝ้าดูเฝ้ารู้กายของเราอยู่เสมอ แล้วความจริงจะประจักษ์แจ้งในใจของเราตลอดไป เจริญพร

พระมหานพดล สิริวัฑฒโณ

29 กันยายน 2557

 

เหนื่อย....เพราะความคิด

เมื่อพิจารณาดูคนในโลกนี้ส่วนมากเหนื่อยเพราะความคิดของตนเอง คนเรานั้นมีเรื่องให้คิดตลอดเวลา แต่ส่วนมากจะคิดแต่เรื่องของคนอื่น มองแต่คนอื่นไม่ค่อยมองตนเอง แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้มองตนเอง แก้ไขตนเอง ถ้าเราใส่ใจอย่างนี้เสมอๆ เราจะไม่มีเวลาไปคิดเรื่องของคนอื่น ธรรมชาติของจิตที่ปล่อยวางย่อมนำความสุขที่แท้จริงมาให้ แต่เป็นธรรมดาที่คนเราจะต้องมีสิ่งมากระทบเสมอๆ ดีบ้างไม่ดีบ้าง สิ่งที่ดีที่สุดคือ เมื่ออะไรมากระทบจิต รีบปล่อยวางมันออกจากใจของเราให้เร็วที่สุด คนเราเวลาพูดเรื่องคนอื่นพูดแล้วเดี๋ยวเดียวก็ลืม แต่ถ้าใครพูดถึงตนเองโดยเฉพาะในเรื่องที่ทำให้ตนเองทุกข์ มักจะนำเก็บมาคิดนานแสนนาน บางครั้งก็คิดไปจนตาย แต่หารู้ไม่ว่า คนที่พูดนั้นลืมไปนานแล้ว เราจงใช้ปัญญาปล่อยวางในใจของเรา แล้วเราจะพบกับสันติสุขในใจของเราตลอดไป เจริญพร

พระมหานพดล สิริวัฑฒโณ

3 ตุลาคม 2557

 

คน....อยากเหนือคน

ทำไมคนเราจึงอยากอยู่เหนือคนอื่น อยากเก่งกว่าคนอื่น อยากให้คนชมว่าดีเลิศ มีสารพัดอยากต่างๆนาๆเท่าที่จิตจะปรุงแต่ง เหตุที่เป็นดังนี้เพราะความอยากที่สะสมมานานแสนนาน ที่คิดว่าเมื่อมีสิ่งเหล่านี้แล้วจะทำให้ตนเองมีความสุข คิดถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่เมื่อถึงจุดนั้นจริงๆ ก็จะแสวงหาความสุขจากสิ่งต่างๆร่ำไป ไม่รู้จักจบจักสิ้น

แต่เมื่อถึงกาลที่พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ พระองค์เป็นผู้ทรงรู้แจ้งโลก และทรงทราบว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ เพราะจิตที่ไปผูกพันต่อสิ่งต่างๆ แบกหามอะไรก็ทุกข์กับสิ่งนั้น ผู้ที่จะรู้สิ่งเหล่านี้ได้ ต้องมีใจจดจอต่ออารมณ์ของตน เฝ้าดูเฝ้ารู้เฝ้าสังเกตุสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน ในเรื่องของ ทาน ศีล ภาวนา จนรู้จักอารมณ์ใจของตนเอง สังเกตุเห็นความทุกข์อันเกิดจากความผูกพัน ไม่ว่าดีหรือร้ายก็ตาม เมื่อรู้แล้วฝึกการปล่อยวาง เมื่อปล่อยถูกวางถูก จิตใจจะเบาสบาย จึงเห็นคุณของการปล่อยวาง เมื่อปล่อยเมื่อวางเมื่อไรก็มีความสุขเมื่อนั้น ผู้ที่ฝีกฝนอบรมจิตใจตนเองเท่านั้นจึงจะได้รับสิ่งเหล่านี้ เงินทองไม่สามารถหาซื้อมาได้ ต้องปฏิบัติด้วยตนเอง เมื่อเห็นดังนี้แล้ว จะเห็นว่าทรัพย์ภายนอกจะมากมายเพียงใด ก็สักแต่ว่าเป็นเครื่องดำรงชีวิต จิตแม้แต่เพียงเล็กน้อยจะนำมาเป็นของตนเองย่อมไม่มี จึงมีปกติที่ละปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะเมื่อปล่อยถูก วางถูก จิตจะได้รับความเย็นความสบาย อะไรๆในโลกนี้ย่อมไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับสิ่งเหล่านี้เลย นี่แหละพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ที่เราควรศึกษาและปฏิบัติตามตลอดไป เจริญพร

พระมหานพดล สิริวัฑฒโณ

4 ตุลาคม 2557

 

ผู้ทำ.....ผู้ติเตียน

การที่คนเราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งให้ประสบความสำเร็จนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ต้องอาศัยความอดทนใคร่ครวญพินิจพิจารณาด้วยเหตุด้วยผล อดทนอดกลั้นต่อสิ่งกระทบต่างๆ แม้กระนั้นงานนั้นจะสำเร็จหรือไม่ก็ยังไม่ทราบ ค่อยทำค่อยเพียรไป

แต่ผู้ที่ชอบติเตียนแม้โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี เป็นสิ่งที่ง่ายเหลือเกิน เพียงแค่ใช้ความคิดของตน เท่าที่ตนเองเห็น แล้วก็วิจารณ์ไปต่างๆนาๆ สิ่งที่คนอื่นทำว่าถูกต้องหรือไม่อย่างไร โดยที่บางครั้งไม่สนใจผู้ลงมือทำว่าบุคคลเหล่านั้น มีความทุกข์ยากแสนเข็ญอย่างไร การที่เราจะตำหนิติเตียนใคร สมควรที่จะนึกถึงอกเขาอกเรา ขอให้คิดเสมอว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไป มันเป็นกรรมของผู้กระทำทั้งสิ้น ถ้าทำดีผลก็จะดี ถ้าทำร้ายผลก็จะร้าย ดังนั้นการที่คนเราจะคิดจะพูดจะทำอะไรควรใคร่ครวญให้ดี เพราะสิ่งที่ทำลงไปไม่สามารถที่จะเรียกคืนกลับมาได้ ส่วนผู้ที่ตั้งใจทำความดี ก็ต้องรู้จักการปล่อยวาง เมื่อมีคนตำหนิควรนำคำเหล่านั้นมาพิจารณา ถ้าไม่ดีก็แก้ไขตนเอง แต่ถ้าคิดว่าตนเองทำถูกก็ต้องปล่อยวางและวางเฉยในสิ่งเหล่านั้น เพราะเราเองไม่สามารถแก้ไขความคิดของคนอื่นได้ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฏแห่งกรรม ปล่อยได้ วางได้ ใจก็จะสบาย เจริญพร

พระมหานพดล สิริวัฑฒโณ

5 ตุลาคม 2557

 

จุดด่าง....บนผ้าขาว

ชีวิตของคนบางคนอาจทำอะไรผิดพลาดบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ที่ยังมีกิเลส และอาจจะเป็นแผลในใจของเขาตลอดไป แม้กาลจะผ่านไปนานแสนนาน อาจจะลืมเรื่องเหล่านี้ไปไม่ได้

คนเราทั้งชีวิตอาจจะทำดีมาตลอด แต่เมื่อทำสิ่งที่ไม่ดีลงไป ด้วยความพลั้งพลาดของความอยากที่พาไป เมื่อมีสติแล้วกลับมาตั้งตนใหม่ นั่นก็ยังไม่สายเกินไป ผู้รู้ย่อมให้อภัยสำหรับบุคคลเหล่านี้ แต่คนบางคนในสังคมปัจจุบันนั้น ชอบเยียบย่ำและทับถมคนคนที่ทำไม่ดี ยิ่งเห็นจุดด้อยของใครๆ ก็ยิ่งว่าและทับถม มองแต่สิ่งที่ไม่ดีของเขา สิ่งที่ดีของเขากลับไม่มอง หรือแกล้งมองไม่เห็น เหมือนผ้าที่ขาวสะอาดถ้ามีสิ่งสกปรกแม้เพียงเล็กน้อย คนส่วนมากก็จะไปติเตียนจุดเล็กๆน้อยๆนี้

ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน พระองค์ทรงสอนให้มองในสิ่งที่ดีๆ

 

ฟังและใส่ใจในสิ่งที่ดี

สมัยหนึ่งได้ไปกราบนมัสการ หลวงปู่ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ในขณะที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น มีโยมคนหนึ่งพูดแต่เรื่องไม่ดี ทำให้จิตใจเศร้าหมอง อาตมาสังเกตุเห็นครูบาพรหมจักรท่านไม่แสดงอาการโต้ตอบ ท่านวางเฉยเหมือนไม่ได้ยิน พออีกสักพักหนึ่งมีโยมคนหนึ่งพูดในสิ่งที่ดีๆ องค์ท่านแสดงความสนใจพูดคุยด้วยท่าทางที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ได้สังเกตุดูครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มักเป็นเช่นนั้นเสมอ ดังนั้นเราควร คิดดี พูดดี ทำดี เพื่อความสุขความสบายในใจของเราตลอดไป เจริญพร

พระมหานพดล สิริวัฑฒโณ

7 ตุลาคม 2557

 

ปุจฉา(ถาม)พระอาจารย์ค่ะ โยมขอพระอาจารย์โปรดเมตตาอุบายการให้มีสติอยู่กับปัจจุบันอย่างต่อเนื่องค่ะ

 

วิสัชนา(ตอบ) ดังที่ครูบาอาจารย์ได้สอนไว้ว่า ให้ปฏิบัติให้มาก ทำให้มากแล้วเราจะสิ้นสงสัยในธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า การปฏิบัติธรรมเราควรที่จะฝึกเสมอ สิ่งที่ทำคำที่พูดให้เรามีสติระลึกรู้อยู่ ให้หมั่นใคร่ครวญในสิ่งเหล่านี้ แม้จะเผลอสติก็ไม่เป็นไร เป็นการรู้อารมณ์ใจของเรา ตราบใดที่เรายังมีกิเลส ก็ต้องมีการพลั้งเผลอเป็นของธรรมดา พระพุทธองค์ทรงสอนให้เรารู้อารมณ์ของเราตามความเป็นจริง สุข ทุกข์ ดี ชั่ว หนาว ร้อน ฯ เมื่อหมั่นฝึกบ่อยๆ ปล่อยวางบ่อยๆ เราจะเริ่มเข้าใจอารมณ์ของเรา จะรู้อุบายที่ทำให้ใจเราเป็นสุข ที่เราสามารถเลือกได้ ค่อยๆฝึกไปนะโยม เจริญพร

พระมหานพดล สิริวัฑฒโณ

8 ตุลาคม 2557

 

อย่าแต่งงานนะลูกนะ

สมัยที่อาตมาเป็นนักเรียนโรงเรียนนายเรืออากาศ ชั้นปีที่ 5 มีความรู้สึกพอใจผู้หญิงคนหนึ่ง ในตอนั้นอาตมามีความสนใจในการปฏิบัติเป็นอย่างมากอยู่แล้ว แต่ด้วยความงามของหญิงคนนี้ก็แอบที่จะชอบไม่ได้ ได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อครูบาวงค์ว่า "หลวงพ่ครับผมเริ่มชอบผู้หญิงแล้วครับ ท่านได้เมตตาบอกว่า "อย่าแต่งงานนะลูกนะ" แม้ตนเองจะมีความชอบเพียงใดแต่ก็ตัดใจ เพราะครูบาอาจารย์ท่านคงทราบอะไรที่ตนเองไม่รู้เป็นอย่างดี ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จึงไม่มีจิตใจที่จะผูกพันกับใคร มุ่งหวังที่จะประพฤติพรหมจรรย์แต่เพียงอย่างเดียว

ครูบาจารย์ท่านเปรียบการมีคู่ครองว่า เหมือนกับปลาที่ฮุบเหยื่อที่คนตกเบ็ดล่อเอาไว้ ที่จริงแล้วปลามันไม่อยากจะกินเบ็ดเลย มันอยากจะกินเหยื่อ แต่เมื่อกินเหยื่อแล้วเบ็ดกลับติดมาด้วยยากที่จะดิ้นให้หลุดได้ เปรียบเหมือนกับมนุษย์ทั้งหลายที่หลงไหลในกามคุณ ย่อมมีความยินดีและพอใจในสิ่งที่ตนได้ตนมี เพราะคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะนำความสุขมาให้ แต่เมื่อยมีโอกาสได้มาครอบครองแล้ว ย่อมพบกับความทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กลืนก็ไม่เข้าคลายก็ไม่ออก ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนั้นไปตลอดชีวิต ผู้มีปัญญาที่มองเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร ย่อมหลีกเว้นสิ่งเหล่านี้ เข้าถึงความบริสุทธิในใจของตนเอง ย่อมแสวงหาที่พึ่งซึ่งหาได้ยากยิ่งนัก เจริญพร

พระมหานพดล สิริวัฑฒโณ

17 ตุลาคม 2557

 

94

งานทอดกฐินของทางวัดเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2557 ที่ผ่านมา นับเป็นงานกฐินสามัคคีที่ผู้ร่วมงานทุกคนต่างมีความปีติสุขเป็นอย่างมาก เริ่มตั้งแต่การเจริญพุทธมนต์และแสดงธรรมตั้งแต่คืนวันที่ 10 ตุลาคม และเช้าวันที่ 11 ตุลาคม มีการทำบุญตักบาตร จากนั้นมีการบรวงสรวงพิธีพราหมณ์ โดยได้เชิญอาจารย์มาจากจังหวัดลำปาง มีการเล่นดนตรีพื้นเมือง การแสดงของนักเรียนโรงเรียนบ้านแม่ตูบ ทุกเวลานาทีได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ร่วมงานเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นได้มีการทอดกฐินสามัคคี รวบรวมยอดเงินได้มากพอสมควร และมีเลขท้ายของยอดเงินคือ 94 และในวันที่ 16 ตุลาคม ฉลากกินแบ่งของรัฐบาลออก 94 พอดี ที่จริงแล้วอาตมาไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย แต่มีญาติโยมแจ้งให้ทราบ จึงมาพิจารณาว่า ความบังเอญนี้ชั่งเหมาะเจอะเสียเหลือเกิน อดให้นึกถึงวันพระราชทานเพลิงศพ พระโพธิญาณเถระ หรือหลวงพ่อชาวัดหนองป่า เมื่อวันที่ 16 มกราคม ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา พอตกเย็นสลากกินแบ่งรัฐบาลออก 16 เช่นเดียวกัน สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นความบังเอิญหรือเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นั้นสุดจะคาดเดา แต่สิ่งลี้ลับที่ตามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นนั้นมีอีกมาก ถ้าเราคิดดีทำดีพูดดี ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย สิ่งที่ดีๆก็จะเข้ามาในชีวิตของเราตลอดไป เจริญพร

พระมหานพดล สิริวัฑฒโณ

18 ตุลาคม 2557

 

 

นาข้าว.....ชาวนาไทย

เมื่วันที่ 18 ตุลาคม 2557 ได้รับทราบจากโยมสุ ผู้ที่ได้นำชีวภาพชนิดน้ำตราเต่ามงคล ให้ผู้เป็นบิดาไปทดลองพ่นใส่นาข้าวที่จังหวัดพิจิตร ผลปรากฏว่าข้าวที่ปลูกวันเดียวกับนาข้าวที่ติดกัน ออกรวงข้าวดกและสมบูรณ์เป็นที่น่าพอใจ ในขณะที่แปลงนาข้าวที่ติดกัน ปลูกวันเดียวกัน แต่ใช้ปุ๋ยเคมี ต้นข้าวสวยงามแต่ยังไม่ออกรวง จากภาพที่นำมาลง ภาพแรกเป็นนาข้าวที่ใช้น้ำชีวภาพตราเต่ามงคล ภาพถัดมาเป็นนาข้าวที่ใช้สารเคมี จะเห็นผลแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ซึ่งการใช้ปุ๋ยเคมีจะมีราคาแพงกว่ากันมาก

ย้อนไปเมื่อประมาณ 4 ปีที่ผ่านมา โยมปรีชา สงวนศักดิ์ ได้มอบสูตรการทำน้ำชีวภาพชนิดนาโน ให้กับอาตมา โยมบอกว่า "ขอให้นำไปช่วยเกษตรกร" อาตมาซึ่งมีความชอบในเรื่องการช่วยเหลือประชาชนทั้งหลายอยู่แล้ว จึงได้นำน้ำชีวภาพนี้ช่วยเกษตรกร ในพืช สวน ไร่ นา ทั้งหลาย เช่น นาข้าว ยางพารา ลำไย หอม กระเทียม คะน้า ผักบุ้ง พริก ส้มโอ มะม่วง มะนาว มังคุด กุหลาบ กล้วยไม้ เห็ดชนิดต่างๆ ไม้ดอกไม้ประดับ เป็นต้น ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง เป็นการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และปลอดสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง

ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะที่ต้องช่วยเหลือกัน เราให้ต่างชาตินำสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เข้ามาขายในประเทศไทยเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ทำให้สุขภาพของคนไทยเสื่อมถอยลงเป็นอย่างมาก สมควรที่เราควรช่วยเหลือกัน นำสิ่งดีๆมาให้คนไทยด้วยกัน เพื่อความอยู่ดีมีสุขของคนไทยตลอดไป

พระมหานพดล สิริวฑฺฒโณ

20 ตุลาคม 2557

 

อยู่อย่างสบาย

ชีวิตทุกวันนี้พระพุทธองค์ทรงสอนให้ไม่ประมาทต่อชีวิต ให้ระลึกถึงความตายอยู่เสมอ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ให้ทำความดีให้ถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อถึงวันที่เราจะละโลกนี้ไปจะได้ไม่เสียดายชีวิต ชีวิตที่มีอยู่ก็อยู่ไปวันหนึ่งๆด้วยความไม่ประมาท พร้อมทึ่จะรับปัญหาทั้งหลายเสมอ เมื่อกายสบายใจสบายก็ดูอารมณ์ใจของเรา ปล่อยให้กาลเวลานั้นผ่านไปพัฒนาจิตใจของตนเองขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปนึกถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้วด้วยอาลัย หรือไม่ผะวงถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อยู่กับปัจจุบัน ละ ปล่อย วาง สิ่งทั้งหลายออกจากใจของเรา ถ้าปล่อยไดุ้วางได้ใจก็เป็นสุข เป็นของการปฏิบัติแม้เราไม่ปรารถนา แต่ธรรมชาติเหล่านี้จะตอบสนองแก่ผู้ที่ปฏิบัติเช่นนี้เสมอโดยไม่เลือกว่าเป็นใครทั้งสิ้น ดังนั้นธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ชอบแล้ว ควรที่เราจะน้อมนำไปปฏิบัติตลอดไป เจริญพร

พระมหานพดล สิริวัฑฒโณ

24 ตุลาคม 2557

 

ความรักที่แท้จริง

คนในโลกนี้ต่างก็มีความรักด้วยกันทุกคน รักพ่อ รักแม่ รักพี่น้องสามีภรรยา เป็นต้น มีชีวิตที่บางคนอาจกล่าวเป็นความรักที่มีต่อบุคคลอื่น โดยเฉพาะเรื่องของสามีภรรยา ที่มักมีเรื่องกระทบกระทั่งกันอยู่เสมอ เหมือนลิ้นกับฟัน ส่วนมากจะอ้างว่ามีความรักต่อคู่ครองของตนอย่างมาก จนเกิดความหึงหวง ห่วงหาอาลัยต่างๆนาๆ ทะเลาะวิวาทกันอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ลองคิดดูเป็นเวลานานมาแล้วว่า สิ่งเหล่านี้เขาเรียกว่ารักเขาหรือรักเรากันแน่ ถ้าเรารักตัวเราก็มองดูว่า ถ้าเกิดความไม่สมหวังในเรื่องต่างๆเช่นคู่ครองนอกใจไปหาคนอื่น แล้วตนเองมีความคับแค้นใจเพราะไม่ได้สมความปรารถนา นั่นก็สมเหตุสมผลดี แต่ถ้าบอกว่ารักเขาแล้วมีอาการหึงหวงต่างๆนาๆ นี่จะเรียกว่ารักเขาหรือรักตัวเองกันแน่ ถ้าตนเองรักคู่ครองจริงๆ ก็ควรยินดีที่เขาไปในสิ่งที่เขาชอบ จะไปหึงไปหวง ไปห่วงทำไม เพราะตนเองรักเขานั่นเอง ดังนั้นให้เราพิจารณาดูว่า เรารักตนเองหรือรักคนอื่นกันแน่ ถ้ารักตนเองเมื่อถึงคราวที่ผิดหวัง ก็ควรเอาใจมาไว้กับตนเอง จะได้ไม่ทุกข์มาก ถ้ารักคนอื่นเช่นคู่ครอง ถ้าเกิดผิดหวังเช่นเขาไปมีคนอื่น ก็ควรจะยินดีกับเขา เพราะคำว่ารักเขานั่นเอง ถ้าคิดอย่างนี้ได้ใจเราก็จะเป็นสุข ไม่ต้องไปยื้อแย่งกับใคร ควรทำดีให้ถึงที่สุด เมื่อตนเองพยายามทำดีแล้ว ใครจะไม่สนใจเราก็เรื่องของเขา เพราะเรามีดีอยู่ในตัวของเราอยู่แล้ว จงภูมิใจในศักดิ์ศรีของตนเอง หาวิธีทำให้จิตใจของเรามีความสุข แม้ภายนอกจะประสบปัญหาต่างๆมากมายก็ตามที เจริญพร

พระมหานพดล สิริวัฑฒโน

25 ตุลาคม 2557

 

หนึ่งขณะแห่งจิต

ความทุกข์ย่อมเกิดกับทุกๆชีวิต จึงทำให้ชนทั้งหลายต่างแสวงหาสิ่งต่างๆเพื่อบรรเทาเสียซึ่งความทุกข์ เช่นมีการร้องรำทำเพลง เที่ยวเตร่เฮฮาสนุกสนาน ฯ เพื่อบรรเทาเสียซึ่งความทุกข์ แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นสิ่งเหล่านี้ เมื่อเกิดความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ หรือประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย

การมีสติอยู่กับปัจจุบันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะดับเสียซึ่งความทุกข์ทั้งปวง ความลับเหล่านี้พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ค้นพบเป็นพระองค์แรก พวกเราจึงควรเดินตามสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งสอน เพื่อบรรเทาเสียซึ่งความทุกข์ทั้งปวงในใจของเราตลอดไป

เจริญพร

พระมหานพดล สิริวฑฺฒโณ

28 ตุลาคม 2557

 

ยาแก้ปวดหัว....สุดยอด

พระต้นเป็นพระที่ไปอยู่จำพรรษาที่วัดประมาณ 4 ปี ท่านมีอาการไม่สบายต้องฉันยาโรงพยาบาลเป็นประจำมาเป็นเวลานาน เมื่อประมาณ 1 เดือนมานี้ให้ท่านฉันยาสมุนไพรรักษาโรคมะเร็ง ปรากฏว่าอาการปวดเมื่อยตามร่างกายมีอาการดีขึ้น และประมาณ 1 อาทิตย์ที่ผ่านมาท่านมีอาการปวดหัวมาก จึงบอกให้คนในวัดไปซื้อยาแก้ปวดมาฉัน(โดยที่ไม่บอกอาตมา) แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น ภายหลังเมื่ออาตมาทราบจึงให้ท่านฉันยาชื่อพระประทาน ปรากฏว่าอาการปวดที่เป็นมาหลายวันได้หายไป ท่านได้พูดกับอาตมาว่า ผมฉันสมุนไพรแล้วดีมาก อาการปวดได้หาย ผมไม่เคยเชื่อมาก่อนเลยว่าจะเป็นไปได้

จะเห็นว่าแม้บุคคลผู้อยู่กับเราใช่ว่าจะเชื่อเราเสมอไป เรื่องเหล่านี้อาตมาพบเจอมามากแล้ว เราอย่าเอาคนอื่นเป็นประมาณ ใครจะมีศรัทธาต่อเราหรือไม่อย่าไปสนใจคนภายนอกเลย สนใจตัวเราเองดีกว่า บางคนสามีภรรยาลูกหลานไม่เชื่อฟัง ก็เกิดอาการไม่พอใจ พูดว่ากล่าวบุคคลเหล่านั้นต่างๆนาๆ ทำให้เกิดความเครียดในใจของตน การป่วยไข้ไม่สบายจึงตามมา แล้วคนเหล่านี้เคยสอบถามตนเองหรือไม่ว่า "ตนเองเคยเชื่อและศรัทธาในคุณงามความดีของตนเองหรือไม่" ถ้าเราทำดีและเชื่อมั่นในความดีของตนเอง จนกราบความดีของตนเองได้ นั่นแหละเราจะพบกับสันติสุขที่แท้จริงในใจของเราตลอดไป

เจริญพร

พระมหานพดล สิริวฑฺฒโณ

29 ตุลาคม 2557

 

สมาธิจิต

สมาธิคือความตั้งใจมั่น ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่สามารถปฏิบัติได้ทุกคน เด็กคนนี้อายุ 8 ปี ก่อนไปโรงเรียนมีการฝึกทำสมาธิ เพื่อเป็นการเตรียมจิตในแต่ละวันให้มีความสุข พร้อมที่จะรับปัญหาต่างๆได้

อาตมาเมื่ออายุประมาณ 17 ปี โยมพี่ชายได้สอนให้นั่งสมาธิ หายใจเข้าบริกรรมภาวนาว่า"พุธ" หายใจออกบริกรรมภาวนาว่า"โธ" ทำได้ประมาณไม่เกิน 3 วัน เกิดอาการต่างๆเช่น เห็นตนเอง ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ลอยสูงขึ้นไปบนอากาศ ดิ่งต่ำลงไปข้างล่าง เกิดแสงสว่างภายใน สุดท้ายได้รับความสุข ที่ไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต จึงได้ปฏิบัติธรรมเสมอมาจนถึงปัจจุบัน การเรียนก็ดีขึ้น ดังนั้นผู้ที่หวังความสุขที่แท้จริงจึงสมควรพินิจพิจารณา แสวงหาความสุขที่แท้จริงในใจของเราตลอดไป เจริญพร

พระมหานพดล สิริวฑฺฒโณ

5 พฤศจิกายน 2557

 

กฏของกรรม....กรรมของใคร

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีโอกาสนั่งรถผ่านถนนสายหนึ่งในเขตอำเภอลำลูกกา จังหวัดประทุมธานี ได้มีโอกาสเห็นคนพิการคนหนึ่ง นั่งรถสามล้อใช้มื้อข้างหนึ่งโยกคันเหล็กเพื่อให้รถเคลื่อนไปข้างหน้า ส่วนด้านหลังของตนเองบรรทุกของเก่าเต็มไปหมด นั่นหมายถึงว่าบุคคลคนนี้ ได้หาซื้อของเก่าเพื่อนำไปขาย หาเลี้ยงชีพของตนเองไปวันหนึ่ง ในสภาพร่างกายที่พิการ ต้องหาเลี้ยงตนเอง ต่อสู้กับชีวิตต่างๆนาๆเพื่อความอยู่รอดของชีวิตนี้ที่ต้องดิ้นรนต่อไป ตราบเท่าชีวิตจะหาไม่ ภาพที่เห็นแม้เป็นเวลาเสี้ยววินาที แต่มันยังติดตาติดใจมาถึงปัจจุบันนี้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เหตุที่เราได้รับในปัจจุบัน ก็คือกรรมในอดีตที่เราได้กระทำมาทั้งสิ้น แม้เมื่อเห็นแล้วจะเวทนาสงสารสักเพียงใดก็ตามที แต่เราก็ต้องเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ใครทำกรรมอันใดไว้ ไม่ว่าดีหรือชั่ว ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นอย่างแน่นอน จึงไม่ควรที่จะประมาทต่อชีวิต ควรรีบทำความดี เพราะมรณภัยคือความตาย สามารถที่จะเข้ามาเยือนเราได้ตลอดเวลา

เจริญพร

พระมหานพดล สิริวฑฺฒโณ

11 พฤศจิกายน 2557

 

โลกที่สงบ......อยู่ที่ใจของเรา

เมื่อวันวานรองสารวัตรอำเภอดอยเต่าได้พาโยมคนหนี่งไปเยี่ยมที่วัด โยมคนนี้มามีครอบครัวเป็นดอยเต่าจึงได้ย้ายตนเองจากจังหวัดนนทบุรี ขึ้นมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นี่ ได้มีโอกาสสนทนากันในเรื่องต่างๆ ทั้งเรื่องของธรรมะ เรื่องการงาน มีหลายครั้งที่โยมคนนี้มักจะพูดว่า โลกปัจจุบันนี้มันวุ่นวาย เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน หาความจริงใจให้กันไม่ได้ คนขาดจริยธรรมและศีลธรรม นี่คือมุมมองของโยมคนนี้

แต่สำหรับอาตมาแล้ว มองเห็นโลกนี้มีแต่ความสงบ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีแต่การให้ มีความเคารพซึ่งกันและกัน เพราะใจของเราพยายามคบหาแต่บัณฑิต พยายามไม่รับรู้สิ่งที่วุ่นวายภายนอก ที่วัดไม่มีโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ ผู้อยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดจึงมีปรกติเฝ้าดูกายและจิตของตน เคารพนบนอบต่อพระรัตนตรัยทุกเช้าเย็น กำจัดกิเลสภายในใจของตนเอง โลกนี้จึงสงบ และน่าอยู่ตลอดไป สำหรับผู้ที่เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร ที่เฝ้าระวังเอาสิ่งที่ไม่ดีออกจากใจของตนเองตลอดไป เจริญพร

พระมหานพดล สิริวฑฺฒโณ

12 พฤศจิกายน 2557

 

ยอมพลี......แม้แต่ชีวิต

สมัยที่อาตมาอยู่กับครูบาชัยยะวงศาพัฒนา ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่เคารพสูงสุด ท่านลองใจอาตมาหลายอย่าง บางครั้งแสดงกิริยาโกรธกริ้วต่ออาตมา แต่อาตมาก็เฉยเพราะถือว่านี่คือครูบาอาจารย์ จนในที่สุดท่านบอกอาตมาว่า. ตัวของอาตมาเองสามารถตายแทนท่านได้ คำพูดของท่านนี้ อาตมาฟังแล้วเก็บมาคิค ความรู้สึกว่า เราตายท่านได้จริงหรือ ลึกๆยังไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์

แต่สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลองค์นี้ แม้พระองค์ไม่ได้ตรัสอย่างไร แต่ความเคารพรักในพระองค์ท่านนับวันก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณ ความรู้สึกในใจคิดว่า ตนเองยอมตายแทนพระองค์ได้ เมื่อคิดถึงพระองค์ท่านคราใด ก็ต้องยิ่งทำความดี ทำตนเป็นผู้เสียสละ ช่วยเหลือสังคมเท่าที่จะกระทำได้ นี่คือความภูมิใจของพระองค์ ที่ทรงเห็นประชาชนของพระองค์ สร้างสรรและทำความดี อาตมาขอเดินตามรอยของพระองค์ท่าน เท่าที่สติปัญญาและความสามารถจะกระทำได้ ขอพระองค์ทรงพระเจริญตลอดไป

เจริญพร

พระมหานพดล สิริวฑฺฒโณ

3 ธันวาคม 2557

 

 

โลกนี้ไม่มีอะไร

ได้มีโอกาสนำคณะญาติโยมไปแสวงบุญประเทศอินเดีย เนปาล เป็นเวลา 16 วัน แม้อาตมาเองจะไปครั้งนี้เป็นครั้งที่ 31 แล้วก็ตาม แต่ไปแล้วก็ไมีรู้จักเบื่อ เพราะเหมือนไปพักผ่อนจากภาระกิจต่างๆ ไปดูกายดูใจของตนเอง ละปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง ทำใจให้สบาย เมื่อกลับมาถึงเมืองไทย อารมณ์แห่งความสงบสุขยังติดอยู่ภายใน มีญาติโยมที่ไปกับอาตมาหลายครั้งเล่าให้ฟังว่า เมื่อมีโอกาสได้ไปอินเดียแล้ว กลับมาถึงเมืองไทยยังมีความอิ่มอกอิ่มใจไปอีกหลายเดือน นี่แหละคือเหตุผลที่ทำไมต้องไปอินเดียหลายต่อหลาบครั้งอย่างไม่รู้เบื่อ แม้บางครั้งต้องแก้ปัญหาที่มีปัญหาเฉพาะหน้าบ้างก็ตาม

เมื่อวานได้มีโอกาสไปดู คณะหมอแพทย์แผนไทย ช่วยเหลือผู้ป่วยที่มารับการรักษา อารมณ์ใจยังติดอยู่เสมอว่า โลกนี้มันไม่มีอะไร โลกนี้เป็นของว่างเปล่า คนในโลกกำลังแสวงหาสิ่งของที่ไม่มีอะไร อะไรๆในโลกนี้ไม่สามารถนำติดตัวเราไปได้เลย นอกจากบุญกับบาปเท่านั้น คำว่าปล่อยวางหรือว่างนั้น เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน เป็นอุบายที่ทำให้เรายอมรับความทุกข์ พ้นจากความทุกข์ในใจของเรา ไม่มีอะไรยึดถือได้เลยแม้แต่อย่างเดียว แม้แต่ร่างกายของเราก็ยึดถือไม่ได้ สิ่งที่ได้จาการที่ได้ปฏิบัติธรรมมาเป็นเวลา 40 กว่าปี ได้อยู่สองอย่างคือ

"จับก็ทุกข์ ปล่อยก็สุข"

เจริญพร

พระมหานพดล สิริวฑฺฒโณ

7 ธันวาคม 2557

 

ไปตามความจำเป็น

วันนี้โยมพัชที่ไปอินเดียเมื่อเดือน พ.ย.57ที่ผ่านมา โทรมาจองขอไปประเทศศรีลังด้วย ซึ่งอาตมาจะเเดินทางไประหว่างวันที่ 9-18 มกราคม 2558 ปัจจุบันมีผู้ร่วมเดินทางจำนวน 21 รูป/คน (จองตั๋วไว้ 20 ที่) การไปครั้งนี้สืบเนื่องมาจากศรัทธาญาติโยมชาวศรีลังกาได้ถวายบ้านพร้อมที่ดิน ให้เป็นที่ปฏิบัติธรรมเมื่อประมาณ 5 ปีมาแล้ว และในเดือนกุมภาพันธ์ จะส่งพระภิกษุชาวออสเตเรียไปอยู่ปฏิบัติธรรมที่นั่น ที่จริงแล้วส่วนตัวของอาตมาไม่อยากไปไหนเลย อยากอยู่ภาวนาหาที่สงบ แต่ที่ไปเพราะความจำเป็น เพราะศรัทธาญาติโยมเขาเรียกร้องให้ไป เห็นความศรัทธาของเขาแล้วก็เกิดความเมตตา อยากอนุเคราะห์สงเคราะห์ เป็นการตอบแทนพระคุณความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะการไปเราไปด้วยธรรม ไม่ได้ไปด้วยอย่างอื่น ธรรมที่ประพฤติดีแล้วย่อมนำสุขมาให้ตน ก่อนที่จะหมดลมหายใจ พึงเร่งทำความดี สร้างความดี จะได้ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบกับพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งนัก

เจริญพร

พระมหานพดล สิริวฑฺฒโณ

7 ธันวาคม 2557

 

 

ปุจฉา - วิสัชนา

 

ปุจฉา. พระโสดาบันยังละสักกายะทิฏฐิได้ แต่ทำไม่ยังมีกามราคะ ในเมื่อเรื่องนี้โยมคิดว่า ในที่สุดมันก็มาลงที่เรารักตัวเอง ก็แสดงว่ายังละตัวตนไม่หมด นมัสการค่ะ

วิสัชนา พระอนาคามีละกามได้ พระโสดาบันก็เหมือนคนธรรมดานี่แหละ มีโลภ โกรธ หลง แต่อยู่ในขอบเขตของศีล ต้องไปดูในสังโยชน์สิบ ( พระโสดาบันละสังโยชน์ 3 ข้อแรกได้ คือ สักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลพตปรามาส

 

ปุจฉา. เพราะฉะนั้นละสักกายทิฏฐิไม่ได้แปลว่าละตัวตนได้

 

วิสัชนา ละได้น้อยๆเมื่อมีสติ พอขาดสติก็ลืม ตามความเข้าใจของอาตมานะโยม เมื่อเริ่มภาวนาพิจารณามากเข้าจะเริ่มเข้าใจว่าตัวเราไม่ใช่ของๆเราเป็นลำดับไป เหมือนทะเลที่ค่อยๆราบเรียบ ไม่เหมือนเหวลึก แต่พระโสดาบัน กำลังของสมาธิและปัญญายังไม่แก่กล้า จึงมีความทุกข์เพราะความพลัดพราก ความรัก ความชังยังมีอยู่ รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังทำไม่ได้ แต่เมื่อมีกำลังแก่กล้าจะเริ่มเข้าใจเป็นลำดับไป ดั่งที่อธิบายมา

 

สาธุ เข้าใจแล้วค่ะ

 

เจริญพร

พระมหานพดล สิริวฑฺฒโณ

8 ธันวาคม 2557

 

พลังจิต....พิชิตโรค

วันนี้โยมปุณยนุช ได้พาโยมสมสวาท อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย อายุ 76 ปี ได้ไปเยี่ยมและทำบุญที่วัด โยมสมสวาทมีอาการปวดหัวเข่า ปวดหลัง และปวดร้าวลงขาขวา โยมบุญยนุช ผู้ไปอินเดียกับอาตมาเมื่อเดือน พฤศจิกายนนี้ ได้มีโอกาสเห็นอาตมานำไม้เท้าของโยมต้อมที่นำมาจากเมืองไทย เพราะตนเองปวดหัวเขามาก นำมาไว้ค้ำยันเวลาเดิน โยมต้อมได้ขอร้องให้อาตมาเคาะหัวเขาบริเวณที่ปวดให้ อาตมาเองยังไม่เคยช่วยคนเช่นนี้เลย แต่ในเมื่อเขาขอร้องก็ทำไปตามศรัทธา เคยจำได้ว่าครูบาวงศ์ มีคนเล่าให้ฟังว่าตนเองปวดหัวเข่า ครูบาวงศ์ได้นำไม้เท้ามาเคาะบริเวณที่ปวด หัวเข่ากลับหายปวดได้

อาตมาจึงได้นำไม้เท้าของโยม แล้วเสกคาถาที่จำได้จากครูบาวงค์ ที่ท่านมักท่องมนต์นี้เวลาช่วยเหลือคน แล้วได้ทำการเคาะตามบริเวณแข้ง ขา หน้าขา ปรากฏว่าอาการปวดหัวเข่าได้หายจากอาการเจ็บปวด หลังจากนั้นจะมีญาติโยมในคณะ มาขอความเมตตาให้อนุเคราะห์ อาการปวดบรรเทาดีขึ้นทุกราย ต่อมามีแขกอินเดียปวดหัวข้างเดียวมาประมาณ 4 ปี ได้ทำการเคาะด้วยไม้เท้านั้น ประมาณไม่เกิน 20 นาที อาการปวดหัวได้ทุเลาและหายในที่สุด เจ้าของโรงแรมที่พักแขนเป็นอัมพฤกษ์ ยกแขนด้วยตนเองได้นิดเดียว พอเคาะให้ 2 ครั้ง สามารถยกแขนขึ้นได้เสมอตัว มีอาการดีขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยคนได้อีกหลายราย

โยมสวาทนี้ก็เช่นเดียวกัน หลังจากที่ได้ทำการเคาะรักษา ทั้งหลักของการนวดแผนไทย และพลังแห่งจิต โยมมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาการปวดหายเกือบปกติ เดินไปมาได้ดีขึ้น อาตมาไม่เคยเชื่อเลยว่าอำนาจของพลังจิตจะมีอำนาจมากขนาดนี้ ร่างกายมนุษย์มีน้ำอยู้ประมาณ 70-85 เปอร์เซนต์ คนประเทศญี่ปุ่นได้ทำการวิจัยผลึกของน้ำ ผลจาการวิจัยสรุปว่า เสียงสวดมนต์ทำให้ผลึกของน้ำสวยเรียงเป็นระเบียบที่สุด ดังนั้นผู้มีพลังจิตอันเกิดจากการปฏิบัติธรรม จิตจึงมีอานุภาพมาก ทำให้น้ำในร่างกายเกิดผลึกที่สวยงาม เรียงเป็นระเบียบ เมื่อจิตที่มีพลังไปสงเคราะห์อนุเคราะห์ ย่อมมีอำนาจมาก ช่วยจัดเรียกโมเลกุล ของผู้ได้รับการรักษาจัดเรียงกันเป็นระเบียบยิ่งขึ้น ทำให้การเจ็บไข้ลดน้อยถอยลงไปได้

ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า สิ่งทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจ จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง อย่างแน่นอน สำหรับอาตมาแล้ว ไม่มีอะไรที่จะต้องสงสัยอีกต่อไป เพราะเห็นประสบการณ์ดังที่ได้กล่าวมานี้

เจริญพร

พระมหานพดล สิริวฑฺฒโณ

8 ธันวาคม 2557

 

 

ความสุข....อยู่ที่มุมมอง

เมื่อไม่นานมานี้มีโยมคนหนึ่ง ได้ปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาครอบครัวและคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นพ่อ พี่และน้อยทึ่มีสุขภาพที่ไม่ค่อยดี มีอาการป่วยไข้อยู่เสมอ ลูกน้องก็ทำงานไม่ถูกใจตน ไม่รู้จักหน้าที่ของตนเอง พร้อมกับพูดด้วยความทุกข์ ว่าทำไมต้องเป็นตนเอง โลกนี้มันทุกข์เหลือเกิน อาตมาฟังดูแล้วเหมือนกับโยมคนนี้เบื่อโลกเหลือเกิน เลยแนะนำให้เช่ือเรื่องกฏของกรรม ใครทำคนนั้นย่อมได้รับ เราช่วยให้ดีที่สุด เมื่อช่วยไม่ได้ก็ต้องวางอุเบกขา ฝึกมองโลกในทางที่ดี แล้วใจเราจะเป็นสุข

หลังจากนั้นอีกประมาณ 1 อาทิตย์ผ่านมา โยมได้เขียนบอกมาว่า ตนเองโชคดีเหลือเกิน ที่มีพ่อ พี่และน้องที่ให้ตนดูแล มีลูกน้องที่ต้องดู นับว่าเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง

จะเห็นได้ว่าความสุขนั้นอยู่ที่มุมมองของ มองให้สุขก็ได้ มองให้ทุกข์ก็ได้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนให้มองโลกนี้ตามความเป็นจริง ยอมรับกฏของกรรม ทำศีล สมาธิ ปัญญาให้ยิ่งๆขึ้นไป สุดท้ายเมื่อเรามีสติ เราสามารถที่จะมีความสุข ท่ามกลางความทุกข์ได้อย่างแน่นอน และมั่นคงในใจของเราตลอดไป

เจริญพร

พระมหานพดล สิริวฑฺฒโณ

9 ธันวาคม 2557

หน่อเนื้อของพระศาสนา
       เมื่อประมาณกลางเดินที่แล้ว มีโยมชาวญี่ปุ่นที่ชอบปฏิบัติธรรม ได้ไปอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัด   ซึ่งเขาเคยมาปฏิบัติอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว จุดมุ่งหมายในการมาครั้งนี้คือ การพรรชาเป็นสามเณรและอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระศาสนา ระยะเวลาที่เขาได้ไปอยู่ที่วัดได้ประมาณ 1 เดือน และจะบรรชาเป็นสามเณรในปลายเดือนนี้ ได้เห็นความตั้งใจมุ่งมั่นในการทำความดีของเขา อดที่จะอนุโมทนาไม่ได้ พระอาจารย์ทาคาซิ มหาปุญฺโญ พระภิกษุชาวญี่ปุ่น ได้อยู่ที่วัดกับอาตมาได้ 14 ปี ท่านเป็นพระอาจารย์ที่คอยอบรมสั่งสอน ชาวญี่ปุ่นด้วยความใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง
      ในความรู้สึกของอาตมา มีความเห็นว่า พระธรรมของพระพุทธองค์เป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุด ไม่มีสิ่งใดจะเสมอเหมือนอีกแล้ว ความเป็นอิสระที่ซ่อนอยู่ภายในเป็นสิ่งที่มีค่าสูงล้ำ ผู้ที่จะพบสิ่งเหล่านี้ได้ ต้องเป็นผู้ที่หันเข้ามาดูกายและใจของตนเอง หาให้พบความทุกข์ เหตุของความทุกข์ และการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงซึ่งความพ้นทุกข์ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงสังสอนไว้หมดแล้ว เพียงแต่เราพยายามดำเนินรอยตามคำสั่งสอนของพระองค์ เพื่อควมสุขที่แท้จริงในใจของเราตลอดไป
เจริญพร
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโณ
13 ธันวาคม 2557
 
จิตเป็นใหญ่
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า สิ่งทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจ ถ้าใจดีแล้วทุกอย่างจะดีหมด ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่มีกับทุกคนนั่นมันเป็นกิเลสที่เราบางครั้งไม่สามารถบังคับมันได้ ไม่อยากโกรธมันก็โกรธ ไม่อยากเกลียดมันก็เกลียด อยากทำดีให้เขาเห็นแต่กลับทำไม่ได้ อยากทำตัวให้เขาเห็นว่าตนเป็นคนดีแต่กลับทำไม่ได้ พวกนี้เกิดจากจิตของตนเองทั้งนั้น 
ฉะนั้นความตั้งใจที่จะทำความดีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ แม้บางครั้งอาจผิดพลาดไปบ้าง ถ้าเราคิดว่าเราทำดีที่สุดแล้วก็ไม่สมควรที่จะโทษตนเอง เพราะจะให้บั่นทอนกำลังใจของเรา ให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติของคนที่ยังมีกิเลส ก็ตนเองทำดีที่สุดแล้วนี่ แล้วก็เริ่มต้นทำความดีใหม่ ที่เขากล่าวว่า ล้มร้อยครั้ง...ตั้งร้อยหน เมื่อล้มแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่ สติปัญญาของเราก็จะแก่กล้าขึ้นมาเป็นลำดับไป สุดท้ายจะมีแต่คำว่า สติๆๆๆอยู่ตลอดเวลา จิตของเราที่ฝึกดีแล้ว จะคุ้มครองเราให้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป
เจริญพร
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโณ
15 ธันวาคม 2557
 
การหายใจ...คลายโรค
   เราเคยสังเกตุตนเองหรือไม่ว่า การหายใจปกติของคนทั่วไป (รวมทั้งอาตมาด้วย) เมื่อหายใจเข้าจะมาสิ้นสุดแค่หน้าอก แล้วก็หายใจออก เป็นเช่นนี้เสมอมา แต่ถ้าผู้ที่ฝึกหายใจเข้าให้ลมหายใจเข้าไปถึงท้อง(ท้องพอง) แล้วหายใจออกให้สุด การฝึกหายใจเช่นนี้ เป็นการฝึกเพื่อที่จะหายใจเข้าไปโดยนำอากาศที่มีอ๊อกซิเจนเข้าไปในท้อง เพื่อช่วยการย่อยอาหาร และเมื่อหายใจออกมา ลมที่ออกมาจะนำเอาลมในท้องซึ่งเป็นลมที่ไม่ดีออกมาภายนอก ถ้าไม่ฝึกการหายใจเช่นนี้ อาจทำให้เกิดอาการแน่นท้อง จนลมนั้นอาจดันไปทางชายซี่โครง ดันขึ้นหัวใจ ทำให้ร่างกายไม่สงบสุขและเกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมาได้  ดังนั้นเมื่อเรามีสติ เราจึงควรฝึกลมหายใจของเรา เพื่อทำให้เกิดสมาธิ และเป็นการรักษาโรคภัยไข้เจ็บในตัวของเราด้วย
เจริญพร
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโณ
19 ธันวาคม 2557
 
ยาส้มกรรมฐาน....รักษาโรคไต
     เมื่อวานในตอนเช้าได้ไปที่โรงพยาบาลดอยเต่า เพื่อนำผู้ติดเชื้อ...สวดมนต์ นั่งสมาธิ ฟังธรรม หลังจากนั้นได้แจกยาสมุนไพรซึ่งเป็นสูตรยาของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่รู้จักกันในนามว่า "ยาส้มกรรมฐาน" ซึ่งอาตมาเริ่มทำมาตั้งแต่ พ.ศ. 2530 เป็นยาที่ใช้หยดน้ำดื่ม และเป็นสิ่งที่น่าแปลกที่ ยาตัวนี้ไปมีส่วนเหมือนทั้งรสชาติและวิธีใช้ กับสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งนำเข้ามาขายในราคาที่แพงมาก(ขวด 30 ซี.ซี. ราคาประมาณ 2600 บาท แต่เมื่อทำขึ้นมาเองต้นทุนไม่มาก) และมีผู้ติดเชื้อรายหนึ่ง ขอนำไปให้ญาติอีก 1 ชุด และตนเองได้บอกว่า ญาติคนนี้มีอาการป่วยเป็นโรคไต ถึงขั้นเตรียมที่จะมีการฟอกไต ได้ส่งไปให้ที่บ้านของเขาเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว เมื่อทานแล้ว อาการป่วยทุเลาและดีขึ้นตามลำดับ จึงไม่จำเป็นต้องฟอกไตแต่อย่างไร (เหตุการณ์เช่นนี้พบมาหลายรายแล้ว) 
    จะเห็นได้ว่า สิ่งดีๆที่มีอยู่ในประเทศไทยนั้นมีมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นคือจิตของเรานั่นเอง ถ้าจิตของเราดี ทุกอย่างจะดีหมด โรคภัยไข้เจ็บก็จะบรรเทาเบาบางลงไปได้ ดังนั้นเราจึงสมควรให้ความสำคัญของจิตใจของเราให้มากๆ เพราะจิตที่ฝึกดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้แก่ตัวเราตลอดไป
เจริญพร
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโณ
20 ธันวาคม 2557

 
 
 

 

 

 

 

 

 
 
     

 

 

  

 
 
 
 
 
 
 
 
 

           

 

 

 

 
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 







Copyright © 2010 All Rights Reserved.

วัดพระพุทธบาทตะเมาะ
ที่อยู่ :  เลขที่ ..๑๔๙ หมู่ ๙ ตำบล โปงทุ่ง   อำเภอ ดอยเต่า
จังหวัด :เชียงใหม่      รหัสไปรษณีย์ ๕๐๒๖๐
เบอร์โทร :  .     มือถือ :087-1774692 
อีเมล : wattamor@hotmail.com.
เว็บไซต์ : www.wattamor.com