สรุปธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน พอจะสรุปตามความเข้าของตนเองว่า ธรรมชาติของจิตที่คิดดี เป็นธรรมชาตินำมาซึ่งความสุข ธรรมชาติของจิตที่คิดร้าย เป็นธรรมชาตินำมาซึ่งความทุกข์ และธรรมชาติของจิตที่ปล่อยวางเป็นบรมสุขอย่างยิ่ง "นิพพานัง ปรมัง สุขขัง พระนิพพานเป็นบรมสุขอย่างยิ่ง ”
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๔ เม.ย. ๕๒
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ผู้มีสติอยู่กับปัจจุบัน ความทุกข์ทั้งหลายจะไม่เข้าในใจเราเลย ที่เราทุกข์เพราะเราคิดถึงอดีตที่ผ่านมาแล้ว และกังวลถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ตามหลักความเป็นจริงของธรรมชาติ ที่ตรงตามหลักวิทยาศาสตร์ ถ้าจิตของมนุษย์สอดส่ายไปในอดีตหรืออนาคต ความทุกข์จะเกิดขึ้นมาในจิต เพราะความจริงของมนุษย์ต้องอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับปัจจุบันทุกขณะจิตชีวิตจะเป็นสุขจนถึงบรมสุข คือพระนิพพานเป็นที่สุด ขอท่านทั้งหลายจงมีสติอยู่กับปัจจุบันทุกคนทุกท่านเทอญ
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๕ เม.ย.๕๒
อารมณ์พอใจไม่พอใจ ที่เกิดขึ้นในจิตของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธองค์ให้เรารู้ตามความเป็นจริง แล้วก็ยอมรับความจริงในสิ่งเหล่านั้น ธรรมะคือการรู้เห็นตามความเป็นจริง รู้แล้วก็ละ รู้แล้วก็ปล่อย รู้แล้วก็วาง จิตก็จะสงบระงับได้ง่าย แต่ถ้าเราไม่อยากให้มีอารมณ์ ความโลภ ความโกรธ ความหลง อยากให้จิตปล่อยวางในสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในจิต ความอยากนั่นแหละจะเป็นตัวก่อเกิดกิเลสตัวใหม่ขึ้นมา จิตก็จะไม่พบกับความสงบเลย ฉะนั้นจงปล่อยอารมณ์แห่งความอยากทั้งหลายออกไป จงมีสติอยู่กับปัจจุบัน ถ้าปล่อยได้วางได้ อารมณ์แห่งความสบายจะบังเกิดขึ้นมาในใจของเรา
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๖ เม.ย. ๕๒
ธรรมชาติของดวงอาทิตย์ย่อมมีแสงสว่างในตัวของมันเองและก็จะมีจุดดับเมื่อถึงกาลเวลาในภายภาคหน้า ธรรมชาติของโลกย่อมหมุนรอบตนเองและรอบดวงอาทิตย์ ธรรมชาติของดวงจันทร์ย่อมหมุนรอบโลก
โลกมนุษย์มันเกิดมาแล้วไม่รู้กี่ปี เมื่อมนุษย์เกิดขึ้นมา ได้สมมุติกันว่า เมื่อโลกหมุนรอบตัวเอง ๑ รอบ สมมุติว่า ๑ วัน เมื่อหมุนรอบตัวเอง ๓๐ วัน สมมุติว่า ๑ เดือน หมุนรอบตัวเอง ๓๖๕ วัน สมมุติว่า ๑ ปี แล้วมนุษย์ก็ไปสมมุติสิ่งโน้นสิ่งนี้ จนคิดว่าสมมุตินั่นแหละเป็นความจริง คือเป็นจริงโดยสมมุติ จากนั้นก็แย่งชิงดีชิงเด่นกัน สร้างความทุกข์และเบียดเบียนซึ่งกันและกัน และแล้วสุดท้ายเมื่อความตายมาถึงทุกคนก็ไม่สามารถนำอะไรติดตัวไปได้เลย แม้แต่สรีระร่างกายของเรา เราต้องคืนให้กับแผ่นดิน พระพุทธองค์ทรงสอนให้ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อละคลายความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลาย เพื่อสันติสุขที่แท้จริงในจิตในใจของเรา
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๙ เม.ย. ๕๒
หลวงพ่อครูบาชัยวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้มซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่อาตมาเคารพเป็นอย่างยิ่ง ท่านได้สอนว่า การเป็นผู้ใหญ่ อย่าเชื่อง่าย อย่าหูเบา เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้เป็นหัวหน้าปกครองคนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นสังคมใดก็ตาม สมัยปี พ.ศ. ๒๕๒๘ มีมีชีท่านหนึ่งได้เคยมาจำพรรษาที่วัด สภาพภายนอกดูเป็นแม่ชี แต่มีปรกติชอบพูดโกหก สารพัดอย่าง ทำให้คนในวัดเกิดความแตกแยก ตอนนั้นอาตมาเพิ่งบวชได้ ๕ พรรษา ได้ฟังคนโน้นทีคนนี้ที พยายามที่จะแก้ไขให้มีความเข้าใจกัน แต่ดูเหมือนว่ายิ่งแก้ก็ยิ่งวุ่นวาย ตอนหลังจับโกหกแม่ชีรูปนี้ได้ ทำให้มาหวนคิดถึงตนเองว่า เรานี่หนาดูแต่คนอื่น ไม่ยอมดูตัวเอง ความวุ่นวายหรือความสงบมันอยู่ที่ตัวเราเองมากกว่า มันไม่ได้อยู่ที่คนอื่นเลย หลวงพ่อวงค์ท่านยังบอกอีกว่า แม้เรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องจริง ถ้าเราไม่เห็นกับตาตนเอง เราก็ไม่ควรจะพูด เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งไม่จบเรื่อง จงใช้ความสงบสยบเรื่องร้ายทั้งหลาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า สิ่งทั้งมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจ ถ้าใจเราดีทุกอย่างก็จะดีไปด้วย ถ้าใจเราไม่ดีสิ่งทั้งหลายรอบข้างก็จะไม่ดีไปด้วย
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๓๐ เม.ย. ๕๒
สมัยที่อยู่จำพรรษาที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม เคยสอบถามหลวงพ่อวงศ์ว่า คนเราที่ปรารถนาความพ้นทุกข์ (คือพระนิพพาน) จะทำอย่างไรให้เข้าถึงจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้ให้เร็วที่สุด ท่านตอบว่า จงทำดีให้ถึงที่สุด และต้องไม่มีศัตรูกับใคร คำว่าไม่มีศัตรูกับใคร ตรงกับคำว่า อภัยทาน คือการให้อภัยแม้แต่คนจะด่า ว่าร้ายเรา เราก็จะไม่โกรธตอบ เพราะการโกรธตอบเป็นบาปชั่วเลวหลายเท่า
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๘ พ.ค. ๕๒
พระญี่ปุ่น ๒ องค์ อยู่ที่วัดของอาตมา องค์หนึ่งอยู่มาได้ประมาณ ๙ ปี อีกองค์หนึ่งอยู่ได้ประมาณ ๔ ปี (พ.ศ.๒๕๕๒) องค์ที่อยู่ได้ ๙ ปี ชื่อพระทาคาสิ มหาปุญฺโญ สอบได้นักธรรมเอก ท่านชอบปฏิบัติธรรม ยุบหนอ พองหนอ ท่านจะเข้ากรรมฐาน ปิดวาจา ปีละ ๓ ครั้ง ครั้งละประมาณ ๒๐-๔๕ วัน แล้วแต่โอกาสเวลาจะอำนวย บางปีก็ไปจำพรรษาที่วิเวกอาศรม จ.ชลบุรี เข้ากรรมฐานปิดวาจาตลอดพรรษา ท่านบอกว่าทุกครั้งท่านเข้าปฏิบัติธรรมจะเกิดอาการเครียด ปวดศีรษะ แก้อย่างไรก็ไม่หาย ในระยะหลังท่านได้อาศัยธรรมชาติ ปล่อยวางอารมณ์มีสติอยู่กับปัจจุบัน ท่านบอกว่าไม่ค่อยมีอาการปวดศีรษะเหมือนแต่ก่อน รู้สึกสบายใจเมื่อรู้จักการปล่อยวาง จะเห็นว่าการปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าเราไปเพ่งต่ออารมณ์ต่างๆ จะทำให้เกิดอาการเครียด การปฏิบัติธรรมสุดท้าย ต้องรู้จักปล่อยวางอารมณ์ทั้งหลาย ให้เหลือแต่กายกับใจ เฝ้ารู้เห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง การทำเช่นนี้ต้องมีศีลเป็นพื้นฐาน เพราะศีลเปรียบเหมือนพื้นฐานที่สำคัญของการปฏิบัติ ถ้าขาดเสียซึ่งศีลธรรมอันดีงามแล้ว ย่อมไม่สามารถพบกับความสุขที่แท้จริงได้เลย ศีลทำให้ถึงซึ่งความสุข ศีลทำให้ถึงซึ่งโภคทรัพย์ และศีลทำให้ถึงซึ่งพระนิพพาน
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๙ พ.ค. ๕๒
ผู้ที่มีศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างมั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่คลอนแคลนนั้น ต้องเป็นผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติตามศีล สมาธิ ปัญญา จนได้รับผลคือความสุขอันเกิดจากการปฏิบัติ สุขอันเกิดจากการปล่อยวาง ถ้ายังไม่เห็นผลอันเกิดจากการปฏิบัติเพียงไร บุคคลนั้นก็ยังมีศรัทธาที่ไม่มั่นคง เพราะธรรมะยังไม่แจ้งประจักษ์ในใจของตน ดังนั้นการลงมือปฏิบัติธรรมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ พระอริยะเจ้าทั้งหลายทั้งในอดีตและปัจจุบัน ท่านเป็นผู้มีศีลอันบริสุทธิ์ ท่านสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย ท่านปฏิบัติจนแจ้งประจักษ์ในใจชองท่านเอง แล้วนำธรรมะมาแนะนำสั่งสอนให้สาธุชนรุ่นหลังได้ปฏิบัติตาม เพื่อความสุขของตนเองและสังคมสืบไป
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๐ พ.ค. ๕๒
ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจ ถ้าใจดีทุกสิ่งทุกอย่างก็ดี ถ้าใจไม่ดีทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่ดี ดังนั้นจงทำจิตใจของตนให้ดีอยู่เสมอ แล้วทุกอย่างจะดีเอง แม้เมื่อมีภัยก็จงมีสติรักษาใจเอาไว้ให้ดี ถ้าใจดีแล้วย่อมผ่านอุปสรรคต่างๆไปได้ด้วยดี อาตมาทดลองมาแล้วหลายครั้ง จนมั่นใจในพระสัทธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าสามารถคุ้มครองเราให้ร่มเย็นเป็นสุขได้จริง เพราะธรรมที่ประพฤติดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๑ พ.ค. ๕๒
ธรรมะเป็นธรรมชาติ สภาวธรรมเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่สามารถพิสูจน์ได้ โดยการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ปัญญามี ๓ อย่างคือ สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการฟัง จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากความคิด และภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาที่แท้จริงนั้นต้องเกิดจากการภาวนา ให้เข้าถึงจิตเข้าถึงใจของตนเอง เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน ไม่มีใครสามารถจะรู้แทนกันได้ เหมือนอาหารที่รับประทานเข้าไปในร่างกาย ไม่มีใครที่จะสามารถรับประทานแทนกันได้ ใครรับประทานบุคคลนั้นย่อมได้รับรสและความอิ่มแห่งอาหารนั้น เช่นเดียวกับการปฏิบัติธรรม ผู้ปฏิบัติตามพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เท่านั้น ย่อมสมควรที่จะได้รับรสแห่งพระธรรม ตามกำลังและสติปัญญาความสามารถของตน ไม่สามารถทำให้บุคคลอื่นรับรู้ได้เลย
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๒ พ.ค. ๕๒
วันนี้ได้มีโอกาสพาญาตโยมที่มาจากกรุงเทพ ไปเยี่ยมพระอาจารย์สมพงษ์ ที่สำนักสงฆ์ห้วยหยวก อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ในระหว่างทางได้พูดธรรมะให้ญาตโยมได้ฟัง เป็นเครื่องสติเตือนใจ ในตอนหนึ่งอาตมาได้บอกกับญาตโยมว่า ในขณะนี้พวกเรากำลังอยู่ในรถ ถ้าเรามีความอยากที่จะไปให้ถึงปลายทางเร็วๆ แค่เกิดความคิดขึ้นมาจิตของเราก็จะเป็นทุกข์ขึ้นมาทันที หรือถ้าเราอยากจะอยู่ที่พักไม่อยากเดินทางมาที่นี่ ความทุกข์ก็บังเกิดขึ้นมาในใจของเราทันที แต่ถ้าเรามีสติอยู่กับปัจจุบัน ชีวิตของเราก็จะเป็นสุข ดังนั้นธรรมทั้งหลายทั้งปวงจึงไม่สามารถหนี ปัจจุบันไปได้เลย จงเตือนตนเองอยู่เสมอว่า ความจริงตัวเรานั้น มีสภาวะที่อยู่กับปัจจุบัน เราไม่สามารถอยู่กับอดีตหรืออนาคตได้เลย
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๖ พ.ค.๕๒
เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่ดวงดี วัดท่าจำปี พระคุณท่านมีอายุ ๑๐๓ ปีแล้ว แต่ยังมีสุขภาพที่แข็งแรง เป็นพระมหาเถระที่มีเมตตาเป็นอย่างยิ่ง มีประชาชนไปกราบท่านเป็นจำนวนมาก อาตมาได้กราบเรียนนิมนต์ให้หลวงปู่ไปเยี่ยมและแผ่เมตตาบารมีที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะ ถ้าหลวงปู่มีโอกาสไปทางดอยเต่า และในวันนี้หลวงปู่มีกิจนิมนต์ไปที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน ดังนั้นหลวงปู่และคณะศิษย์ได้ไปแวะเยี่ยมอาตมาที่วัด พร้อมกับแผ่เมตตาบารมีให้วัดมีความร่มเย็นเป็นสุขและมีความเจริญรุ่งเรืองในการปฏิบัติธรรมยิ่งๆขึ้นไป อาตมามีความซาบซึ้งในความเมตตาของพระคุณท่านเป็นอย่างยิ่งที่ได้เมตตาไปเยี่ยมที่วัด นับเป็นสิริมงคลสำหรับวัดเป็นอย่างยิ่ง ขอนอบน้อมพระเดชพระคุณด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๗ พ.ค. ๕๒
ตามหลักวิทยาศาสตร์ น้ำย่อมเกิดจากการที่โฮโดรเจน ๒ ส่วน รวมตัวกับออกซิเจน ๑ ส่วน จึงทำให้เกิดเป็นน้ำขึ้นมา มันเป็นความจริงเสมอตลอดกาล ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้เลย และการที่คนเราได้มีโอกาสพบกัน ถ้าตามหลักความจริงแล้วนั้น ไม่มีความบังเอิญได้เลย ต้องมีเหตุและมีปัจจัยที่ทำให้เราต้องมาพบกัน การที่เราเกิดมาแล้วดำรงชีวิตอยู่ มันเป็นไปตามวิบากของกรรมที่เราได้เคยกระทำไว้ในชาติปางก่อน ส่งผลมาถึงชาติปัจจุบัน เราควรทำดีต่อไปเพื่อให้จิตของเราอยู่เหนือวิบากกรรมทั้งหลาย เข้าถึงสันติสุขที่แท้จริงในใจของเรา
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๐ พ.ค. ๕๒
เคยพาผู้พิพากษาท่านหนึ่งไปกราบพระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป ที่วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แต่ง จ.เชียงใหม่ พระอาจารย์ท่านเมตตาโยมคนนี้เป็นอย่างมาก ท่านบอกว่า ให้โยมหมั่นปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ อีกหน่อยจะมีอารมณ์ที่เป็นสุข นั่ง ยืน เดิน นอน จิตใจจะเบิกบานแจ่มใส เหมือนยิ้มให้กับตนเอง จิตใจจะเป็นสุขมาก เพราะผลอันเกิดจากการปฏิบัติ ซึ่งตรงกับคำพูดของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล ที่ว่า เมื่อปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมดีแล้ว จะทำให้จิตของเรายิ้มขึ้นมาในใจด้วยตัวของเราเอง การปฏิบัตินั่นแหละจึงเป็นธรรมที่สมควรแก่การธรรม เป็นการได้รับผลที่แท้จริง ของธรรมที่เราได้ปฏิบัติมาดีแล้ว
ดังนั้นพวกเราทั้งหลายควรที่จะหมั่นเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา อยู่เสมอ เพื่อความสุขในใจของเราเอง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๑ พ.ค. ๕๒
สมัยที่อาตามยังเป็นคฤหัสถ์ จะปฏิบัติธรรมทุกตอนเช้ามืดและตอนค่ำ คือนั่งสวดมนต์ทำสมาธิ ตอนเช้าประมาณ ๑ ชั่วโมง และตอนค่ำประมาณ ๑ ชั่วโมง ทุกๆวัน จนกระทั่งได้มาอุปสมบท การปฏิบัติเพื่อมุ่งหวังผลในธรรมนั้น เราจะทำเป็นเล่นๆไม่ได้ ต้องทำจริงๆจึงจะได้ของจริง เมื่อมาอุปสมบท(พ.ศ.๒๕๒๔) ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน มีปรกติที่เห็นความไม่งามเป็นอารมณ์ สงบ และมีสันติสุขอยู่ภายในใจของเราเอง
ผู้มีความเพียรอันเลิศ ย่อมได้รับผลอันเลิศ ผู้มีความเพียรอันเลวทราม ไฉนเลยจึงจะได้รับผลอันเลิศเล่า
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๒ พ.ค. ๕๒
คนส่วนมากชอบมองดูความผิดของบุคคลอื่น ว่าไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ แต่มักจะลืมดูตนเอง ความผิดของคนอื่นแม้มีเล็กน้อย ก็สามารถเห็นปานประดุจภูเขาใหญ่ แต่ความผิดของตนเอง แม้มากเพียงไร ความรู้สึกของผู้เป็นเจ้าของเหมือนกับปลายเข็มที่เล็กนิดเดียว ดังนั้นความทุกข์จึงเกิดขึ้นกับชนเหล่านี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๓ พ.ค. ๕๒
อาตมาเคยได้รับการตำหนิติเตียนจากการกระทำของตนเองอยู่หลายครั้ง แต่ส่วนตัวก็ไม่ค่อยหวั่นไหวสักเพียงไร ทั้งนี้เพราะการที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา คิดว่าตนเองพยายามทำดีที่สุดแล้ว ในเมื่อพยายามทำตนเองให้ดีที่สุดแล้ว จะไปหวั่นไหวกับโลกธรรมไปทำไม คนเราไม่มีผิดพลาดบ้างหรืออย่างไร เมื่อเขาติเตียนเรา เราก็รับฟังถ้าเราผิดจริงก็ควรที่จะแก้ไข ถ้าไม่ผิดก็ปล่อยวางเสียแผ่เมตตาให้กับเขาเหล่านั้น ความดีมันอยู่ในใจเรา ส่วนความไม่ดีก็อยู่ในใจเราเช่นกัน คนโง่เท่านั้นที่มีปรกติชอบติเตียนบุคคลอื่น แต่พระอริยะเจ้าทั้งหลายท่านวางทั้งความดีและความชั่วออกไปจากใจของท่าน เพราะจิตของบุคคลใดที่ไปสัมผัสทั้งดีหรือชั่วโดยยึดถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริง ความทุกข์ย่อมเกิดมาในใจของผู้นั้น แต่ถ้าผู้ใดปล่อยวางได้ จิตของผู้นั้นจะได้รับสันติสุข เป็นสุขที่เป็นบรมสุขอย่างยิ่ง มันเป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน ท่านทั้งหลายจงมาสัมผัสและศึกษาธรรมอันล้ำเลิศขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เถิด
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๔ พ.ค. ๕๒
เมื่ออยู่กับความสงบวิเวก ชนทั้งหลายย่อมมีความหงอยเหงาเศร้าใจ เพราะหวนคำนึงคิดถึงอดีตที่ผ่านมาแล้ว หรือพะวงถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่ผู้รู้ทั้งหลายย่อมได้รับความสุขอันเกิดจากความสงบวิเวก เพราะท่านไม่คิดถึงอดีตที่ผ่านมาแล้วด้วยความอาลัย หรือพะวงถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง คิดถึงแต่ปัจจุบันจิตที่ละทุกสิ่งทุกอย่างออกจากใจของตน ปล่อยเมื่อไหร่ก็สุขเมื่อนั้น วางเมื่อไหร่ก็สุขเมื่อนั้น เมื่อรู้แจ้งประจักษ์ด้วยตนเองแล้ว ย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอย่างแน่นนอน
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๕ พ.ค. ๕๒
อิ่มอย่าลืมอยาก ปากอย่าลืมใจ ไปอย่าลืมทาง คำพูดนี้หลวงพ่อครูบาวงศ์ได้สอนอาตมาให้จำไว้พิจารณา เป็นคติเตือนใจ ให้มีสติในการดำเนินชีวิต เพื่อความผาสุกของเราตลอดไป ขอให้ผู้อ่านทั้งหลายจงพิจารณาให้แจ้งชัดในใจของตนเองเถิด
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๗ พ.ค. ๕๒
เมื่อวานนี้อาตมาได้พบโยมผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ หกสิบกว่า โยมได้มาหาแล้วเล่าให้ฟังถึงความยากลำบากที่ในชีวิตที่ผ่านมา ด้วยสีหน้าและแววตาอันหม่นหมอง เป็นชีวิตที่แสนลำเค็ญที่ต้องทำมาหากิน พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เงินมาเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว ปัจจุบันจะทำอะไรขายหาเลี้ยงชีพด้วยความยากลำบาก ทำขนมสารพัดอย่าง ขนมเหล่านี้ก็ขายไม่ดี ขาดทุนทุกอย่าง รู้สึกท้อแท้ต่อชีวิตเป็นที่สุด
อาตมาได้พิจารณาดูว่า ทำไมโยมถึงมีความทุกข์ยากอย่างนี้ ทำมากแต่ได้เงินน้อย กว่าจะได้เงินมาก็ได้มาด้วยความยากลำบาก จึงได้สอบถามว่าโยมได้มีโอกาสทำบุญบ้างหรือไม่ โยมบอกว่าไม่ค่อยได้ทำบุญเลย มัวแต่หาเงินเลี้ยงครอบครัว ไปหาพระก็อยากได้แต่ของขลังที่ทำให้ค้าขายดี มีกำไรมาก แต่ไม่ค่อยได้บุญ ดังนี้แหละตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า คนเราที่เกิดมานั้น มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ใครทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่ว ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นอย่างแน่นอน การที่บุคคลใดได้รับความสุขหรือทุกข์มิใช่ใครมากระทำ ตัวของเขาเองเป็นผู้กระทำ ดังนั้นสุขหรือทุกข์ที่เราได้รับ สืบเนื่องมาจากผลกรรมที่เราได้กระทำไว้แล้วทั้งสิ้น จงอย่าโทษดินฟ้าอากาศหรือบุคคลอื่นเลย จงโทษตัวเราเองนั่นเป็นการดีที่สุด
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๘ พ.ค. ๕๒
ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อราคะ ธรรมเหล่านั้นมิใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๓ มิ.ย. ๕๒
สมัยที่มาอยู่วัดพระพุทธบาทตะเมาะในปีแรกๆ มีพระหลวงตาท่านหนึ่งมาพักอยู่ด้วย ได้เดินไปบิณฑบาตในหมู่บ้านแม่ตูบพร้อมกัน วันหนึ่งในขณะที่ญาตโยมกำลังใส่อาหารถวายพระ ปรากฏว่าหมาตัวหนึ่งมาฉี่รดที่จีวรของหลวงตา ทำให้ปลายจีวรเปี๊ยกน้ำ..... อาตมาได้หัวเราะออกมาเพราะความขำแม้จะพยายามอดกลั้นไว้ หลังจากนั้นผ่านไปไม่นาน หลวงตาได้จาก อาตมาได้ไปบิณฑบาตในหมู่บ้านเหมือนเดิม ปรากฏว่าหมาได้มาฉี่รดอาตมาถึง ๒ ครั้ง ในระยะเวลาห่างกันไม่กี่วัน ทำให้นึกถึงกฎแห่งกรรมว่าเราทำอะไรไว้ดีหรือชั่ว ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นอย่างแน่นอน ดังนั้นจงสำรวมระวัง กาย วาจา และใจให้ดี เพราะทุกอย่างที่ทำลงไปเป็นกรรมที่เราต้องรับผลจากการกระทำเหล่านั้นทั้งสิ้น
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๔ มิ.ย. ๕๒
สมเด็จพระวรรณรัตน์ธรรมรังสี วัดโสมนัสวิหาร พระคุณท่านได้กล่าวไว้ว่า
ถือตนถือดิน อวดตนอวดดิน
อวดกินอวดขี้ อวดดีแก่ตาย
อวดสบายแก่โรค นั่งโงกงนแก่แล้วแลว่าตน รูปตนคือผี.....ดีอย่างไร
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๕ มิ.ย. ๕๒
เด็กหญิงแอร์ปอ เด็กน้อยชาวกะเหรี่ยงได้ติดตามพ่อ แม่ ไปปฏิบัติธรรมที่วัด อยู่ ๕วัน สามารถปฏิบัติธรรมได้ไม่แพ้ผู้ใหญ่ กลับไปบ้านยังชอบสวดมนต์เป็นประจำ จะเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ก็มีใจดวงเดียวกัน จิตใจไม่มีแก่ มีสภาพเหมือนกันหมด จะแก่ก็แก่แต่ร่างกายเท่านั้น การสร้างความดีไม่มีการจำกัดอายุ สามารถปฏิบัติได้เหมือนกันหมด
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๓ มิ.ย. ๕๒
โยมญี่ปุ่นได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัด ระหว่างวันที่ ๓-๑๓ มิ.ย.๕๒ ที่ผ่านมา ปรกติโยมคนนี้เป็นคนที่เคร่งครัดและเคร่งเครียดในการปฏิบัติ การปฏิบัติที่ผ่านมาทำให้คลายความเครียดไปได้มาก เพราะอาศัยธรรมชาติที่เงียบสงบ ทำให้จิตใจสงบตามไปด้วย ในวันหนึ่งงูเขียวได้ไปที่กุฏิที่พักของตน เพราะต้องการมากินตุ๊กแกที่อาศัยอยู่ที่กุฏินั้น ตนเองมีความกลัวงูนั้นเป็นอย่างมาก จึงได้นำผ้าไปอุดรูกันงูจะเข้าไปที่กุฏิของตน เมื่อทำเสร็จแล้วจึงได้มีสติรู้ตนเองว่า ตนเองยังมีความกลัวตายเป็นอย่างมาก รู้สึกตนเองขึ้นมาทำให้เกิดธรรมสังเวชว่า ความกลัวของมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ก็คือความตายนั่นเอง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๔ มิ.ย. ๕๒
พุทโธนั้นเป็นของเด็กๆ จะให้แน่ต้อง..................นี่เป็นคำพูดของผู้ปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งที่อาตมาสมัยเป็นนักเรียนไปปฏิบัติที่สำนักแห่งหนึ่ง โยมคนนี้ได้พูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจในแนวทางการปฏิบัติของตน อาตมาก็แปลกใจว่าทำจึงพูดเช่น เก็บความสงสัยมาโดยตลอด กาลเวลาผ่านไป จึงได้รู้ว่าคำพูดเช่นนี้เป็นความเห็นที่ผิดเป็นอย่างยิ่ง เพราะการปฏิบัตินั้นพระพุทธองค์ทรงสอนถึง ๔๐ วิธี ตามแต่จริตนิสัยของแต่ละคนว่าใครถนัดเช่นไร ที่วัดอาตมาไม่ปิดกั้นว่าใครปฏิบัติแนวไหนก็ได้ที่ตนถนัด สุดท้ายเพื่อการละปล่อยวางกิเลสตันหาอุปาทานทั้งหลายเป็นใช้ได้ พระญี่ปุ่นองค์หนึ่งชอบแนวสติปัฏฐานสูตรภาวนา ยุบหนอ พองหนอ อีกองค์หนึ่งชอบภาวนา พุทโธ ก็เห็นท่านทั้งสองไม่มีความคิดที่ว่าของตนเองนั้นดีกว่าของคนอื่น ดังนั้นผู้ปฏิบัติจึงสมควรที่จะทำใจให้กว้าง เพื่อที่จะรับสิ่งที่ดีๆเข้ามาในตนเอง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๖ มิ.ย. ๕๒
ปีพ.ศ. ๒๕๓๔ อาตมาได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อฤษีลิงดำ ที่บ้าน พลอากาศเอกอาทร โรจนวิภาต ดอนเมือง หลวงพ่อท่านถามอาตมาว่าปฏิบัติธรรมแล้วได้อะไร อาตมาตอบว่า “ผมได้ความสบายใจครับ” ท่านได้เมตตาตอบว่า “เออ ! นักปฏิบัติธรรมเขาต้องการอย่างนี้อย่างเดียวเท่านั้นอย่างอื่นไม่ใช่นะ ” จะเห็นว่าการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงนั้นเราทำเพื่อความสบายใจ ใจสบายจะไม่รักชอบใคร ใจสบายจะไม่โกรธใคร ใจสบายจะไม่เกลียดใคร ใจสบายเป็นมัชฌิมาปฏิปทา เป็นทางสายกลาง ท่านผู้ปฏิบัติควรยึดเป็นแนวทางในการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๗ มิ.ย. ๕๒
วันหนึ่งอาตมาได้มีโอกาสไปกราบพระอาจารย์กัญหา สุขกาโม ที่วัดแพร่ธรรมาราม จ.แพร่ กำลังสนทนาธรรมกับพระอาจารย์อยู่ พระอาจารย์ท่านพูดกับอาตมาว่า “ทราบแล้วเปลี่ยน ” อาตมาได้ตอบท่านว่า “ครับทราบแล้วเปลี่ยน ไม่ทราบไม่เปลี่ยน ” ท่านพูดแค่นี้ อาตมาก็ตอบท่านไปแค่นั้นเช่นกัน โดยที่ไม่มีคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น ญาตโยมทั้งหลายลองคิดดูเถิดว่าปริศนาธรรมที่พูดนี้เป็นเช่นไร
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๘ มิ.ย. ๕๒
เมื่อประมาณ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว ได้มีโอกาสพาญาตโยมไปกราบพระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป ที่วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ พวกเราไปถึงประมาณเกือบสองทุ่ม (๒๐.๐๐ น.) เมื่อไปถึงพระอาจารย์ท่านรออยู่ที่กฏิด้านนอก เมื่อเห็นคณะของพวกเรามาท่านบอกว่า เร็วๆหน่อยคืนนี้จะเดินทางไปภาคอีสาน รออยู่ตั้งนานแล้ว อาตมาแปลกใจเหลือเกินว่าการที่ได้เดินทางมาวัดของท่านนั้น ก็มิได้กราบเรียนท่านก่อน ทำไมท่านถึงทราบและรอคณะของเรา นี่แหละพลังบามีของผู้ที่ฝึกสั่งสมมานานแล้ว ย่อมสามารถรู้เห็นในสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถจะกระทำได้
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๙ มิ.ย. ๕๒
เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๒๗ ในวันทำบุญพระศพครบ ๑๐๐ วัน ของหลวงปู่ครูบาพรหมจักร ที่วัดพระพุทธบาทตากผ้า อาตมาได้มีโอกาสไปร่วมทำบุญในครั้งนี้ด้วย ในวันนั้นหลวงปู่หล้า (ตาทิพย์) วัดป่าตึง อ.สันกำแพง ท่านได้มาร่วมงานด้วย อาตมาได้เข้าไปกราบท่าน ท่านได้มองหน้าอาตมาสักพักหนึ่งแล้วท่านได้พูดขึ้นมาว่า “ปฏิบัติธรรมดีแล้ว ละกามให้ได้นะ” เป็นครั้งแรกที่หลวงปู่ท่านพูดกับอาตมา ท่านต้องมีอะไรดีแน่นอนจึงสามารถหยั่งรู้สภาวะจิตของผู้ปฏิบัติธรรมได้ ได้เคยสอบถามจากพระอาจารย์เกษม ผู้เป็นพระอุปัฏฐากหลวงปู่ว่า ทำไมญาตโยมจึงเรียกหลวงปู่ว่า หลวงปู่หล้าตาทิพย์ ท่านได้เมตตาเล่าให้ฟังว่า สมัยหนึ่งในเวลากลางคืนหลวงปู่ได้ไปเรียกพระคุณเจ้าในวัดท่านหนึ่งให้ออกจากกุฏิที่พักในคืนนั้น ท่านบอกว่าให้รีบออกมาโดยเร็ว ต้นไม้ใหญ่จะล้มใส่กุฏิหลังนี้ในไม่ช้านี้ พอพระท่านออกมาไม่นานต้นไม้ก็ล้มใส่กุฏิหลังนั้นจริงๆ นี่แหละเป็นที่มาของคำว่า “หลวงปู่หล้าตาทิพย์”
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๐ มิ.ย. ๕๒
จิตเป็นพลังงานอย่างหนึ่งที่อยู่ในกายมนุษย์ เมื่อมนุษย์สามารถรักษาจิตให้อยู่ในกายได้(อยู่กับปัจจุบัน) จะทำให้จิตมีพลังงานเพียงพอที่จะหมุนเวียนในตัว ทำให้จิตสงบ และมีความสุข แต่ถ้าไม่สามารถรักษาจิตให้อยู่ในตัวได้(คิดไปในเรื่องอดีตและอนาคต) จะทำให้พลังงานในตัวไม่เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงร่างกายได้ จึงทำให้ร่างกายเกิดการกระสับกระส่าย ทำให้เกิดความทุกข์เพราะจิตไม่มีความสมดุล ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า “ ผู้มีสติอยู่กับปัจจุบัน ความทุกข์ทั้งหลายจะไม่เข้ามาในใจเราเลย ” พวกเราทั้งหลายควรที่จะสร้างสติคือความระลึกได้ และสัมปชัญญะ คือความรู้ตัวทั่วพร้อม ให้อยู่กับปัจจุบันเสมอๆ เพื่อความสุขที่แท้จริงในใจของเรา
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๒ มิ.ย. ๕๒
เมื่อวันที่ ๒๕ มิ.ย. – ๖ ก.ค. ๕๒ ได้มีโอกาสไปประเทศศรีลังกา เพื่อนำพระฮุคุย ฐานวโร ไปจำพรรษาที่ประเทศศรีลังกา เมืองกูรูเนการ่า ตามที่โยมจายันตา วสรามุนี ผู้มีศรัทธาถวายที่ดินพร้อมที่พัก ให้ปฏิบัติธรรม คนศรีลังกาส่วนใหญ่เขามีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก มีการสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิและเจริญจิตภาวนา พวกเขามีความเคารพเลื่อมใสในต้นโพธิ์ซึ่งเป็นองค์แทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ได้เห็นพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา ที่ทำด้วยใจศรัทธาแล้วน่าอนุโมทนากับพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๗ ก.ค. ๕๒
ชาวศรีลังกาถึงแม้จะมีความเลื่อมใสในศาสนา แต่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนานั้นเท่าที่พิจารณาดูยังไม่ค่อยเข้าใจในแก่นแท้เท่าไหร่นัก ส่วนมากจะหนักไปในเรื่องพิธีกรรม ต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้ ซึ่งก็คงดีกว่าไม่ทำอะไรเสียเลย ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถคงจะทำให้พวกเขามีการพัฒนาจิตได้ดียิ่งขึ้น
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๗ ก.ค. ๕๒
ประเทศไทยของเราแม้จะมีผู้ศรัทธาเลื่อมใสในพระศาสนา ที่มองเห็นเป็นรูปธรรมไม่เข้มแข็งเท่าประชาชนในประเทศศรีลังกา แต่เรามีครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่คอยแนะนำสั่งสอนพุทธบริษัททั้งหลายให้พ้นจากความทุกข์เป็นจำนวนมาก ขอให้พวกเราจงสร้างศรัทธาให้เข้มแข็ง ในการประพฤติปฏิบัติธรรมยิ่งๆขึ้นไป
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๗ ก.ค. ๕๒
หลวงปู่บุดดา ถาวโร ท่านกล่าวไว้ว่า ผู้ปฏิบัติได้ถูกต้องนั้น ปฏิบัติเพียงวันเดียวก็สามารถเข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ แต่ถ้าปฏิบัติไม่ถูกต้อง จะปฏิบัติสักร้อยปีก็ไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาได้
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๘ ก.ค. ๕๒
ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง เป็นผู้มีชื่อเสียงในการสั่งสอนประชาชนทั้งหลายเป็นจำนวนมาก ในเย็นวันหนึ่งอาตมาได้มีโอกาสไปกราบนมัสการท่าน มีประชาชนผู้เลื่อมใสไปฟังธรรมเป็นจำนวนมาก มีคำพูดที่ท่านกล่าวกับญาตโยมว่า “นิพพานนะ นิพพานนะ” ทุกคนนั่งฟังด้วยอาการอันสงบ ในเวลาที่ห่างกันไม่นานนัก ท่านพูดว่า “รวย รวย รวย ทุกคนนะ” ชนทั้งหลายที่นั่งฟังพูดด้วยเสียงอันเดียวกันว่า “สาธุ สาธุ” จะเห็นว่าชนทั้งหลายมีความปรารถนาทรัพย์ภายนอกมากกว่าทรัพย์ภายใน แต่แท้จริงแล้วพวกเราทั้งหลายจงเร่งหาทรัพย์ภายในกันให้มากๆเถิด ทรัพย์ภายนอกนั้นจะตามมาเองถ้าทรัพย์ภายในของเราดีแล้ว คือ ใจดี ใจสบาย ย่อมเป็นบ่อเกิดแห่งอริยทรัพย์ทั้งหลาย
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๙ ก.ค. ๕๒
โยมอาวีเป็นคนงานที่มาทำงานเป็นแม่ครัวที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะ เมื่อประมาณ ๕ ปีที่แล้ว ตอนที่มารับหน้าที่ครั้งแรกๆ โยมคนนี้ทำกับข้าวทางภาคกลางไม่เป็น อาตมาต้องการให้ทำอาหารที่มีสุขภาพที่ดี อาหารที่รสไม่เค็ม ไม่เผ็ด ไม่มันเกินไป รสชาติพอดีๆ ในตอนแรกๆอาตมาฉันอาหารที่โยมทำแทบไม่ลง ทนฝืนฉันไปอย่างนั้นเพราะถือว่าเราเป็นพระ ฉันอาหารเข้าไปเพื่อความอยู่รอดเพื่อให้ร่างกายที่มีอยู่ ได้ใช้ในการปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ในที่สุด แต่พระทาคาสิพระภิกษุชาวญี่ปุ่นบอกว่าทำอาหารเหมือนคนญี่ปุ่น รสชาติถูกปากดี
กาลต่อมาโยมอาวีมีการพัฒนาฝีมือการทำอาหารให้ดียิ่งๆขึ้นไป ปัจจุบันใครทีมีโอกาสได้รับประทานอาหารของโยมอาวีต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “อาหารอร่อยมาก” ทั้งๆที่เป็นอาหารมังสะวิรัติ ที่เป็นอาหารธรรมดาไม่ได้วิจิตรพิสดารแต่อย่างไร ดังนั้นการทำอะไรก็ตามต้องมีความตั้งมั่น ทำอะไรต้องทำจริง หมั่นวิเคราะห์พิจารณาหาเหตุผล ในสิ่งที่ตนทำ ย่อมสามารถลุล่วงประโยชน์ที่ดีได้ ไม่ว่าจะเป็นทางโลกหรือทางธรรมก็ตามที
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๐ ก.ค. ๕๒
ในช่วงเวลาประมาณ ๑ เดือนที่ผ่านมา อาตมาได้ปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เวลา ประมาณ ๐๔.๐๐ น.จนถึงประมาณ ๒๓.๐๐ น. มีการนั่งสมาธิและเดินจงกรมสลับกันไป รู้สึกว่าร่างกายมีความสดชื่นดีมาก ไม่ค่อยง่วงเหงาหาวนอนเลย จิตใจมีการตื่นตัวอยู่เสมอ มีความรู้สึกตนเองมีความเนิ่นช้ามานานแล้ว ปล่อยเวลาให้เสียไปกับการงานและสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ตอนนี้สมควรที่จะหันเข้ามาช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด ไม่มีใครจะช่วยเราได้นอกจากตัวของเราเอง ดังนั้นขอท่านทั้งหลายจงอย่าประมาทต่อชีวิตอันน้อยนิดนี้ จงเร่งสร้างความดีให้มีที่พึ่งที่แท้จริงใจของเราเทอด
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๒ ก.ค. ๕๒
ผู้ที่ประกอบอาชีพต่างก็คิดว่าตนเองนั้นมีสติในการทำงาน พวกเขาเหล่านั้นก็น่าที่จะพ้นทุกข์ได้เหมือนกัน แต่มันมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะการที่จะกระทำตนให้พ้นจากทุกข์ได้นั้น มีวิธีที่แตกต่างออกไป ที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำสั่งสอนเป็นแบบแผนที่ดีมีคุณค่าเป็นอย่างมาก ดังนั้นพุทธวิธีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่เราต้องศึกษาและปฏิบัติตามเพื่อความพ้นทุกข์ในวัฏฏะสงสารเป็นที่สุด
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๓ ก.ค. ๕๒
เมื่อวันที่ ๑๖ ก.ค. ๕๒ ได้มีโอกาสไปกราบนมัสการพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป ที่วัดอรัญญวิเวก พระอาจารย์ไม่ค่อยสบายสุขภาพไม่ดีอยู่หลายเดือน ในการไปครั้งนี้ท่านมีความเมตตาอาตมาเป็นพิเศษกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา จับมืออาตมาและสนทนาธรรมด้วยความเมตตา ท่านคงจะทราบด้วยญาณวิถีว่า อาตมากำลังปฏิบัติธรรมเพื่อถอดถอนกิเลสที่มีอยู่ในใจให้หมดสิ้นไป จึงได้มีความเมตตาเช่นนี้
อาตมานึกถึงเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ สมัยนั้นกำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนนายเรืออากาศ ชั้นปีที่ ๔ ได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อชา สุภัทโท ที่วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ในคืนวันหนึ่งได้ปฏิบัติธรรมตลอดทั้งคืนเพื่อถวายเป็นพุทธบุชา ในวันรุ่งขึ้นได้ไปกราบหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง ท่านมีความเมตตาอาตมาเป็นอย่างมาก ได้แสดงธรรมโปรดประมาณ ๒ ชั่วโมง ก่อนจะลากลับได้เข้าไปกราบที่เท้าของท่าน ท่านได้ลูบศีรษะของอาตมาพร้อมกับพูดว่า “นิพพานนะ” ทำให้รู้สึกขนหัวลุกด้วยความปิติยินดีในความเมตตาของท่านเป็นอย่างยิ่ง จึงทำให้มีกำลังใจในการปฏิบัติธรรมจนถึงปัจจุบันนี้
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๘ ก.ค. ๕๒
การปฏิบัติธรรมนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้มีความเพียรในการปฏิบัติธรรมอย่างไม่ลดละ ทำจิตให้เหมือนกับว่าเราจะปฏิบัติให้ได้มรรคผลเดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ แต่ทำด้วยความปล่อยว่าง ให้ตั้งใจปฏิบัติ ปฏิบัติ แต่เพียงอย่างเดียว โดยมีสติเฉพาะหน้าอยู่ที่อิริยาบถน้อยใหญ่ แม้มรรคผลยังไม่ปรากฏ เมื่อทำอย่างถูกต้องย่อมได้รับผลคือความสุขความสงบ ในจิตใจชองผู้ปฏิบัติที่มีความเพียรเครื่องเผากิเลส ตามลำดับแห่งภูมิธรรมของตนอย่างแน่นอน
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๙ ก.ค. ๕๒
อาตมามักแนะนำการปฏิบัติแก่ผู้สนใจอยู่เสมอว่า ให้จับอารมณ์สบาย ถ้าใจเราสบายนั่นแหละเป็นหนทางที่ถูกต้อง เพราะครูบาอาจารย์หลายองค์ได้สอนอย่างนี้ บางคนมีความเห็นว่าถ้าติดอารมณ์สบายระวังจะติดความสุข เพราะการติดสุขจะทำให้ไม่ได้มรรคผลที่สูงขึ้นไป ทั้งที่ผู้พูดนั้นไม่ทราบว่าปฏิบัติได้ความสุขหรือไม่ คนเรานั้นก่อนที่จะละมันต้องติดเสียก่อน ถ้าไม่ติดแล้วจะละได้อย่างไร หรือว่าจะปฏิบัติเอาแต่ความเครียดเป็นอารมณ์ สุดท้ายก็จะเบื่อหน่ายและไม่อยากที่จะปฏิบัติธรรมอีกต่อไป
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๐ ก.ค. ๕๒
สมัยที่บวชพรรษาแรกๆมีความสงสัยว่า ทำไมครูบาอาจารย์บางองค์ชอบปฏิบัติธรรมแบบทรมานตนเอง เช่นอดอาหาร อดนอน เดินธุดงค์ในที่มีอันตราย ครูบาอาจารย์บางองค์ชอบปฏิบัติแบบสบายๆ ไม่ชอบอดอาหาร ฯ มีอยู่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับหลวงปู่บุดดา ถาวโร ได้กราบเรียนถามท่านดังที่กล่าวมาข้างต้น แล้วกราบเรียนถามท่านอีกว่าการปฏิบัติธรรมของครูบาอาจารย์ที่แตกต่างกันอย่างนี้ อะไรจึงจะเป็นทางสายกลางคือมัชฌิมาปฏิปทา ทางที่ไม่หย่อนเกินไปและไม่ตึงเกินไป หลวงปู่ได้ตอบปัญหาให้หายสงสัยว่า มัชฌิมาปฏิปทา(ทางสายกลาง)นั้นอยู่ที่อารมณ์ปัจจุบัน ใครปฏิบัติทำจิตให้อยู่ที่ปัจจุบันในกายของตนได้นั่นแหละจึงจะเรียกว่าทางสายกลาง ถ้าปฏิบัติเคร่งครัดเพียงใดแต่ถ้าอารมณ์จิตยังฟุ้งซ่านไปในอดีตหรืออนาคต จิตชองบุคคลนั้นยังไม่นับว่าอยู่ในทางสายกลาง ทางสายกลางจึงอยู่ที่อารมณ์จิตที่อยู่ในปัจจุบันนี้เดี๋ยวนี้นั่นเอง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๒ ก.ค. ๕๒
หลวงพ่อครูบาวงศ์ท่านสอนว่าการทำความดีอย่าให้มารมันรู้ คือให้เก็บอยู่ในใจของเรา ถ้าเราเที่ยวป่าวประกาศให้คนโน้นคนนี้รู้ว่าเราจะทำสิ่งนี้ อาจจะมีมารมาทดสอบจิตใจของเรา ให้เราไม่ประสบสิ่งที่เราปรารถนาและล้มเหลวในการกระทำนั้นๆ สมัยที่อาตมาเป็นคฤหัสถ์มีความปรารถนาที่จะออกบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ได้เก็บความรู้สึกอันนี้เอาไว้ในใจ เมื่อถึงเวลาจึงได้ออกบวชตามที่ตนปรารถนาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๗ ก.ค. ๕๒
ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.ป่าซาง จ.ลำพูน กล่าวว่า สมถกรรมฐาน ต้องอาศัยครูบาอาจารย์ที่มีความรู้แนะนำการปฏิบัติ ส่วนวิปัสสนากรรมฐานต้องอาศัยธรรมชาติที่ดีเกื้อหนุนต่อการปฏิบัติธรรม ให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๘ ก.ค. ๕๒
โยมอ๊อดเป็นโยมพี่ชายของอาตมาเอง ตั้งแต่เด็กชอบเที่ยวเตร่เฮฮาสนุกสนานตามความชอบใจของตน รู้จักพระพุทธศาสนาแต่เพียงผิวเผิน เมื่อครั้งที่ทางวัดจัดปฏิบัติธรรมเป็นเวลา ๑๐ วัน( ๓-๑๓ มิ.ย. ๕๒) โยมก็ไปปฏิบัติด้วยเป็นเวลา ๕วัน วันนี้ได้มีโอกาสพบกัน โยมได้บอกว่าปัจจุบัน ได้สวดมนต์นั่งสมาธิทำบุญตักบาตร รู้สึกว่าชีวิตนี้มีความสุขยิ่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก เพิ่งรู้ว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าดีจริงๆ นี่แหละอำนาจของธรรมของพระพุทธเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจของคนได้จริง พระพุทธองค์ทรงวางรากฐานเรื่อง ศีล สมาธิ และปัญญาไว้ดีแล้ว อยู่ที่เราว่าจะเดินตามทางของพะพุทธองค์ได้หรือไม่เท่านั้น
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๓ ส.ค. ๕๒
สมัยที่เป็นนักเรียนนายเรืออากาศชั้นปีที่ ๑ เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๙ ได้มีโอกาสไปฝึกการใช้แผนที่ เข็มทิศ ในการเดินทาง และการซ้อมรบในรูปแบบต่างๆ ในช่วงสุดท้ายของการฝึกจะมีการซ้อมรบในช่วง ๗๒ ชั่วโมง หรือ ๓ วัน ๓ คืน จำได้ว่าวันหนึ่งอาหารที่ได้รับขนาดเท่าซองมาม่าเพียงคนละ ๑ ซอง ในเย็นวันนั้น อาตมาและเพื่อนๆหิวอาหารกันเป็นอย่างมากเพราะอาหารที่ได้รับมาไม่เพียงพอต่อความต้องการ จนต้องออกไปนำกล้วยดิบของชาวบ้านในบริเวณนั้นมาต้มกินเพราะหาอาหารอย่างอื่นไม่ได้ ปรากกฎว่าอาหารมื้อนั้นเป็นอาหารที่อร่อยที่สุด ไม่มีอาหารมื้อไหนจะอร่อยเท่าอาหารมื้อนี้อีกเลย ปัจจุบันแม้กาลจะผ่านไป ๓๐ กว่าปีแล้ว แต่ความทรงจำเก่าๆยังหลงเหลืออยู่ ดังนั้นความประทับใจคงอยู่ที่ความเหนื่อยยากและความหิวนั่นเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ความหิวเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ดั่งที่ครูบาวงศ์ท่านกล่าวเป็นภาษิตว่า อิ่มอย่าลืมอยาก ปากอย่าลืมใจ ไปอย่าลืมทาง เป็นมนต์ขลังของผู้ปรารถนาจะทำความดี ให้ได้ดียิ่งขึ้นไป
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๔ ส.ค. ๕๒
ได้มีโอกาสศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมจากครูบาอาจารย์หลายองค์ ที่มีแนวฝึกที่เหมือนและแตกต่างกัน ตามความถนัดของแต่ละท่าน แต่สุดท้ายแล้วตัวเราเองต้องหาจริตนิสัยในการปฏิบัติที่เป็นตัวของเราเอง ธรรมเหล่าใดที่เราปฏิบัติแล้วทำให้เรามีความสบายใจ มีความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติ จงยึดเอาแนวทางนั้น พร้อมกับตรวจสอบแนวทางที่พระองค์ทรงตรัสสอนว่าตรงกับที่เราปฏิบัติหรือไม่ ศรัทธาที่ดีต้องประกอบด้วยปัญญาจึงจะเกิดผลที่ดี มิใช่เป็นศรัทธาหัวเต่าหุบเข้าหุบออก ทั้งนี้เพื่อการปฏิบัติที่ดีงามของเราตลอดไป
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๕ ส.ค. ๕๒
ได้ปรารถธรรมกับพระคุณเจ้าที่อยู่จำพรรษาด้วยกัน ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม เพราะการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นการทวนต่อกระแสโลก ต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและติดต่อกัน จึงจะเกิดผลดีต่อผู้ปฏิบัติเอง ถ้าปฏิบัติจนถึงจุดหนึ่งแล้ว การปฏิบัติจะเป็นไปตามธรรมชาติ จะมีผู้รู้เกิดขึ้นมาในจิตผู้รู้นั่นแหละจะสั่งให้ร่างกายทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ และจะมีความเพียรอย่างแรงกล้า สามารถปฏิบัติได้ทั้งวันทั้งคืน ผลคือจะได้รับความสุขความสงบที่ยิ่งใหญ่อันเกิดจากการปฏิบัติที่เราตั้งไว้โดยชอบแล้ว
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๖ ส.ค. ๕๒
วันนี้เป็นการนำปฏิบัติธรรมวันที่ ๓ มีพระ ๕ รูป อุบาสก อุบาสิกา ๑๑ คน ญาตโยมเริ่มที่จะเข้าใจในการปฏิบัติธรรม ทำให้ใจมีความสงบขึ้นเป็นลำดับ สังเกตจากสีหน้าท่าทางที่เริ่มสงบเย็นสบาย ถ้าเราปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน จะไม่ผิดพลาดได้เลย ยกเว้นเราจะละเว้นการปฏิบัติหรือปฏิบัติไม่จริงจัง ผลก็จะได้ไม่จริงจังเช่นเดียวกัน ดังนั้นเราจะได้ดีหรือไม่นั้น ไม่ได้อยู่ที่บุคคลอื่นแต่อยู่ที่ตัวเรานั่นเอง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๙ ส.ค. ๕๒
วันนี้เป็นการนำปฏิบัติธรรมวันที่ ๓ มีพระ ๕ รูป อุบาสก อุบาสิกา ๑๑ คน ญาตโยมเริ่มที่จะเข้าใจในการปฏิบัติธรรม ทำให้ใจมีความสงบขึ้นเป็นลำดับ สังเกตจากสีหน้าท่าทางที่เริ่มสงบเย็นสบาย ถ้าเราปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน จะไม่ผิดพลาดได้เลย ยกเว้นเราจะละเว้นการปฏิบัติหรือปฏิบัติไม่จริงจัง ผลก็จะได้ไม่จริงจังเช่นเดียวกัน ดังนั้นเราจะได้ดีหรือไม่นั้น ไม่ได้อยู่ที่บุคคลอื่นแต่อยู่ที่ตัวเรานั่นเอง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๙ ส.ค. ๕๒
โยมผู้พิพากษาท่านหนึ่ง ได้มีโอกาสไปปฎิบัติธรรมในครั้งนี้ด้วย โยมคนนี้มีศรัทธาในปฏิปทาของครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง ประมาณ ๓๐ ปีมาแล้ว ศึกษาตำรับตำรามามาก เมื่อก่อนตนเองคิดอยู่เสมอว่า ไม่ต้องการปฏิบัติที่เคร่งเครียด ต้องตื่นแต่เช้าและปฏิบัติวันละหลายชั่วโมง แต่พอได้ไปปฏิบัติในครั้งนี้ซึ่งวันนี้เป็นวันที่ ๕ ของการปฏิบัติ ปฏิบัติรวมกันวันละประมาณ ๘ ชั่วโมงและกลับไปปฏิบัติต่อยังที่พักอีก โยมเริ่มได้รับความสงบจากการปฏิบัติยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ โยมบอกว่าเมื่อก่อนคิดว่าไม่ต้องปฏิบัติมากก็ได้ แต่ตอนนี้มีความเชื่อว่าสิ่งที่ตนเองคิดนั้นไม่ถูกต้องนัก ต้องลงมือปฏิบัติให้มากๆจึงจะบังเกิดผลในการปฏิบัติ เพราะกิเลสนั้นเป็นสิ่งที่ลึกอยู่ภายในต้องไปล้างจากข้างในออกมา ดังนั้นผู้มี่ศรัทธาในความดีควรน้อมนำการปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป เพื่อความสุขที่แท้จริงในใจของเราเอง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๑ ส.ค. ๕๒
เมื่อวันที่ ๑๑ ส.ค.๕๒ ได้มีโอกาสไปกราบพระอาจารย์เปลี่ยน ฯ ขากลับได้แวะไปที่ร้านของโยมศิริโชค ได้พบโยมไทผู้เป็นภรรยาของโยมศิริโชค โยมไทป่วยเป็นไมเกรนโดยมีอาการปวดหัวข้างเดียว รับประทานยาอะไรก็ไม่หาย มีแต่อาการบรรเทาเป็นระยะ โยมได้เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ของการป่วยในอดีตว่า เมื่อก่อนโยมปวดหลังเป็นอย่างมาก ย้อนนึกถึงกรรมที่ได้ทำไว้กับแมวที่เลี้ยงไว้ตัวหนึ่ง วันหนึ่งแมวตัวนี้ไปลักขโมยกินปลาที่เก็บไว้ โยมโกรธมันเป็นอย่างมากจึงได้นำไม้ไปฟาดที่หลังของมัน ปรากฏว่ามันหนีหายไปหลายวัน ตอนหลังได้พบมันนอนป่วยมีอาการเป็นแผลที่หลังเพราะรอยถูกตี และเสียชีวิตในภายหลัง ตอนมาโยมไทมีอาการปวดหลังเป็นอย่างมากทานยาอะไรก็ไม่หาย จึงได้ปรึกษากับสามีนิมนต์พระ๔รูป มารับทานโดยถวายพระพุทธรูปและจตุปัจจัยแก่พระสงฆ์ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับแมวตัวนั้น เพื่อให้มันอโหสิกรรมให้ ปรากฏว่าอาการป่วยได้หายมาจนถึงปัจจุบัน อาการปวดหัวของโยมที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน โยมได้เคยไปบีบหนอนตายหลายร้อยตัว ที่มากินพริกที่ปลูกไว้ ในระยะนี้โยมมีอาการปวดหัวเป็นอย่างมาก คิดว่าในอนาคตอันใกล้นี้คงจะต้องนิมนต์พระมาทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้กับหนอนที่เคยฆ่าไว้ เพื่อให้มันอโหสิกรรมให้ เพราะการป่วยเจ็บนั้นมันทรมานเหลือเกิน ดังนั้นใครทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่วย่อมได้รับผลของกรรมนั้นอย่างแน่นอน
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๓ ส.ค. ๕๒
อาวีเป็นคนงานที่วัดเมื่อวันที่ ๙ ส.ค. ๕๒ โยมบอกกับโยมหล้ามัคคทายกที่วัดว่าวันนี้คงจะไม่รอดต้องตายแน่ เพราะมีอาการปวดหัวที่ศีรษะเป็นอย่างมาก ป่วยอยู่สิบกว่าวันแล้วได้พาไปหาหมอรับประทานยาทั้งยาปัจจุบันและยาสมุนไพร อาการเป็นหายๆแต่วันนี้มีอาการหนักมาก คิดว่าคงจะไม่รอด อาตมาได้ทราบข่าวจากโยมหล้า จึงได้ช่วยเหลือโดยการเปิดตำราฝังเข็มที่มีอยู่ ได้ฝังเข็มตามจุดที่เขาบอกไว้จำนวน ๖ เข็ม ฝังได้ ๒๐ นาทีได้นำเข็มออก อาการป่วยดีขึ้นมาเป็นอย่างมาก วันรุ่งขึ้นได้ฝังโยมอาวีอีกครั้งหนึ่งอาการป่วยได้หายเป็นปกติ ต่อมาอีก ๒-๓ วันได้ฝังอีกอาการป่วยได้หายไป นับว่าการฝังเข็มเป็นการช่วยเหลือที่ดีอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งอาตมาได้ใช้รักษาตนเองมาหลายครั้งในเรื่องของการปวดหัว เป็นไข้ และปวดเมื่อยตามร่างกาย
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๔ ส.ค. ๕๒
โยมพี่แดงซึ่งเป็นพี่สาวของอาตมาได้มาช่วยงานที่วัดและปฏิบัติธรรมอยู่หลายวัน วันหนึ่งได้บอกกับอาตมาว่า เริ่มจับลมหายใจที่ปลายจมูกได้บ้าง รู้สึกสบายใจดี อารมณ์สบายสักสองสามมาแล้ว จะเห็นได้ว่าการปฏิบัติธรรมนั้น ต้องมีความใส่ใจในการที่จะทำให้ตนเองนั้นมีสติ คือ ความระลึกได้และมีสัมปชัญญะ คือความรู้ตัวทั่วพร้อม เป็นสิ่งที่ดูเหมือนทำง่าย แต่เป็นการกระทำที่ยากพอสมควร เพราะมันฝืนต่อกิเลสของปุถุชนธรรมดา คนเราชอบคิดถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้ว และพะวงถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง จึงพบกับความสุขและความทุกข์คละเคล้ากันไปอย่างหาที่สุดมิได้ ผู้รู้ย่อมหาเป็นเช่นนั้นไม่
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๓ ส.ค. ๕๒
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีคณะนักเรียนโรงเรียนบ้านไร่ประมาณ ๒๐ คนมาทำกิจกรรมที่วัด โยมครูผู้ควบคุมได้พูดเกี่ยวกับการทำแก็สชีวภาพที่ทำมาจากมูลสัตว์ ซึ่งอาตมาได้ยินมานานแล้ว จึงได้เปิดดูทางเว็บไซด์ ได้นำออกมาทำที่วัด ในอาทิตย์ต่อมาคณะนักเรียนชุดเดิมได้มาที่วัดเพื่อที่จะให้ทางวัดช่วยสอนการทำสบู่ จากน้ำมันมะพร้าว และน้ำมันปาล์ม ได้เห็นถังแก็สชีวภาพเกิดความสนใจในการที่จะนำไปทำเป็นอย่างยิ่ง จะเห็นได้ว่าทุกคนมีโอกาสที่จะเรียนรู้สิ่งแปลกๆใหม่ๆอย่างหาที่สิ้นสุดมิได้ ความผิดพลาดย่อมเกิดจากผู้กระทำเสมอๆ แต่ความผิดนั่นแหละจะเป็นครูของเราในภายหลัง ผู้ที่ไม่ผิดคือผู้ที่ไม่ทำอะไรเลย ทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งทรัพย์ทางโลกและทางธรรม ย่อมเกิดจากปัญญาของผู้ที่หมั่นฝึกฝนให้เกิดให้เป็นให้มี ปัญญาย่อมเกิดไม่ได้เลยถ้าเราไม่หมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญญาในทางธรรมเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นจนนอน จึงจะได้ผลตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๔ ส.ค. ๕๒
นิตยสารไทม์ของประเทศอเมริกาได้วิจัยกลุ่มชนที่มีความสุขที่สุดในโลก คือกลุ่มชนที่ปฏิบัติสมาธิในพระพุทธศาสนา ดังนั้นผู้ที่เลื่อมใสในหลักพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จงตั้งใจกันประพฤติปฏิบัติในศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อความสุขที่แท้จริงของชีวิต มิใช่ปฏิบัติแค่สมาธิอย่างเดียวเท่านั้น
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๖ ส.ค. ๕๒
เมื่อต้นเดือนสิงหาคมนี้ได้มีโอกาสได้พบกับโยมนักเรียนรุ่นน้อง ซึ่งไม่ได้พบกันมาประมาณ ๓๐ ปี โยมคนนี้มีความศรัทธาในการปฏิบัติธรรม แต่จะได้แค่ไหนนั้นลองพิจารณากันดู เมื่อได้พบกันโยมได้ถามอาตมาว่า หลวงพี่ปฏิบัติธรรมได้ถึงไหนแล้ว ได้ตอบไปว่าได้ถึงปัจจุบัน โยมได้บอกว่า หลวงพี่ไปทำอะไรมาได้แค่นี้เองนะหรือ ผมเองได้แล้วมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ โยมได้สาธยายธรรมะต่างๆนาๆ ได้พบครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายองค์ ครูบาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้ชมตนเองว่าปฏิบัติดีอย่างนั้นอย่างนี้ อาตมาก็ได้แต่รับฟังโยมคนนี้พูดไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็สรุปว่าโยมคนนี้เก่งกว่าอาตมามาก ในความคิดของเขา เพราะอาตมาได้แค่ปัจจุบันเท่านั้นเอง ที่จริงแล้วไม่อยากเขียนลงในที่นี้ แต่เมื่อเล่าให้ญาตโยมฟังหลายคนบอกว่าควรเขียนให้ผู้อ่านทั้งหลายได้พิจารณาว่าใครเป็นเช่นไร บางอย่างที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนแสนที่จะง่าย เช่นทรงสั่งสอนว่าทำอะไรให้มี สติ คือ ความระลึกได้ และมี สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัวทั่วพร้อม แต่คนส่วนมากเห็นว่าไม่เห็นมีอะไร แล้วก็ละเลยไม่ชอบปฏิบัติตาม หมกมุ่นอยู่ในอดีตและอนาคต คุยโม้โอ้อวดซึ่งกันและกัน แล้วก็ปล่อยเวลาให้ผ่านไปวันหนึ่งๆ แล้วเมื่อไหร่จะถึงจุดหมายปลายทางกันเสียที
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๗ ส.ค. ๕๒
สติและสัมปชัญญะ เป็นธรรมที่มีอุปการะแก่การปฏิบัติธรรมเป็นอย่างมาก ยิ่งค้นดูในจิตใจของเรา ยิ่งมีความลุ่มลึกเป็นลำดับเหมือนทะเลที่ค่อยๆราบเรียบลงไป ยิ่งค้นดูยิ่งพบความสุขที่ลุ่มลึกลงไปเรื่อยๆ เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน สำหรับผู้ที่ลงมือปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเท่านั้น ฉะนั้นผู้มีความเพียรเครื่องเผากิเลส จึงเป็นบุคคลที่น่านำมาเป็นตัวอย่างในการสร้างความดีมากที่สุด เพราะเขาเหล่านั้นพยายามที่จะชนะกิเลสที่มีอยู่ในใจของตนเอง และพร้อมที่จะยอมแพ้ต่อบุคคลอื่น ไม่ว่าจะถูกกล่าวร้ายป้ายสีประการใด ก็จะยอมแพ้ด้วยอาการอันสงบ ถือว่าเป็นกรรมที่เคยสร้างกันไว้ต้องมารับใช้กรรมเหล่านั้น แต่จะไม่ยอมแพ้ต่อกิเลสที่จะไปโกรธแค้นบุคคลอื่น เพื่อสันติสุขที่แท้จริงในใจของตนเอง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๙ ส.ค. ๕๒
แม้จะได้รับทราบจากคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์เสมอว่า พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า อานนท์เธอจงปฏิบัติให้มากทำให้มาก(ตามที่เราตถาคตสั่งสอน) แล้วเธอจะสิ้นสงสัยในคำสั่งสอนของเรา แต่ถ้าเธอไม่ปฏิบัติให้มากทำให้มากแล้ว เธอจะไม่สิ้นสงสัยในคำสั่งสอนของเราเลย ทั้งๆที่ได้รับทราบมาแล้วหลายครั้ง แต่ถ้าผู้ไดไม่ลงมือปฏิบัติ ความซาบซึ้งจะไม่เกิดแก่เขาเหล่านั้นเลย แต่ถ้าลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง จนได้รับผลคือความสงบ นั่นแหละจึงจะเห็นว่า สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสนี้ เป็นขุมทรัพย์อันมหาศาลที่จะทำให้เราพ้นทุกข์จากวัฏฏะสงสาร ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๓๐ ส.ค. ๕๒
มีอยู่ครั้งหนึ่งพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป ท่านบอกว่ามีพระคุณเจ้าท่านหนึ่ง ได้มีการเข้าทรงโดยอ้างว่ามีครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงที่ท่านมรณภาพไปแล้ว มาเข้าทรงร่างของตนเพื่อที่จะโปรดญาติโยมทั้งหลายให้บรรเทาเสียซึ่งความทุกข์ พระอาจารย์เปลี่ยนท่านอยากรู้ว่าเป็นจริงหรือไม่ ท่านจึงได้ไปที่แห่งนั้น เมื่อถึงเวลาพระองค์นั้นได้ทำพิธีแล้วเชิญครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงองค์ที่ตนนับถือมาเข้าร่างของตน พระอาจารย์ได้กำหนดจิตดูปรากฏว่าเห็นเป็นสัมภเวสีที่อาศัยอยู่ที่ศาลพระภูมิในบริเวณนั้นจะเข้ามา ท่านจึงใช้กระแสจิตไล่ไปเสีย ปรากฏว่าพระองค์ที่ทรงไม่สามารถเข้าทรงได้ จึงได้อัญเชิญครูบาอาจารย์องค์อื่นมาเข้าทรงอีก ปรากฏว่ามี่สัมภเวสีที่ศาลพระภูมิอีกบ้านหนึ่งจะมาเข้าร่างพระองค์นั้น พระอาจารย์เปลี่ยนท่านได้ใช้กระแสจิตขับไล่ไปอีก ปรากฏว่าในวันนั้นพระองค์นั้นไม่สามารถเข้าทรงได้ เรื่องของการทรงเจ้าเข้าทรงนั้น ครูบาวงศ์ท่านบอกว่าเป็นของมีจริง แต่ของจริงที่ดีแท้นั้นหาได้ยากยิ่งนัก พวกคนทรงทั้งหลายมักจะทำนายทายทักเรื่องของอดีตและปัจจุบันของเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาได้ถูกต้อง แต่เรื่องของอนาคตนั้นคงจะไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก พวกเจ้าทั้งหลายที่มาเข้าทรงมักอ้างว่าเป็นผู้วิเศษจากที่นั่นที่นี่ แต่แท้จริงแล้วก็เป็นสัมภเวสีที่ตายและจิตวิญญาณ ที่เร่ร่อนไปตามที่ต่างๆนั่นเอง แต่คนส่วนใหญ่มักนิยมชมชอบในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก การพึ่งพาสิ่งต่างๆภายนอก เป็นการพึ่งพาที่ไม่ยั่งยืน คนหลงมัวเมาย่อมเป็นเหยื่อกลลวงของสิ่งมัวเมาทั้งหลาย ดังนั้นจงหมั่นเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อที่จะได้ขจัดความหลงออกจากจิตใจของ เพื่อที่จะหาที่พึ่งที่แท้จริงในใจของเราเอง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๓๑ ส.ค. ๕๒
ได้มีโอกาสอ่านโอวาทคอสอนของพระมหาเถระชาวพม่าองค์หนึ่ง เกี่ยวกับคำสอนของท่าน ในเรื่องความรัก อ่านดูแล้วรุ้สึกว่าคำสอนของท่านต้องนำมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วย ว่าความหมายนั้นเป็นเช่นไร อาตมาจะขอนำคำสอนของท่านมาให้ญาติโยมได้พิจารณา เพื่อเป็นการเจริญปัญญา ในหัวข้อแห่งความรักดังกล่ว ท่านกล่าวไว้ว่า
๑. ตัวเราไมรัก แต่เขารัก รักนี้น่าเกลียดนัก
๒. ตัวเรานั้นรัก เขาไม่รัก รักนี้ทนทุกข์นัก
๓. ตัวเรานั้นรัก เขาก็รัก รักนี้ดียิ่งนัก
๔. ตัวเราไม่รัก เขาไม่รัก รักนี้ประเสริฐนัก
๕. ตัวเราไม่รัก เขาไม่รัก รักนี้ประเสริฐนัก
ท่านมีตำเฉลยอยู่ก่อนแล้ว แต่อยากให้ผู้อ่านลองไปพิจารณาดูว่า ความหมายนี้เป็นเช่นไร แล้วจะเฉลยให้ทราบในภายหลัง
พระมหานภดล สิริวฑฺฒโน ๑ ก.ย. ๕๒
ท่านมหาเถระองค์นี้ท่านอธิบายไว้ว่า
1. ตัวเราไม่รัก แต่เขารัก รักนี้น่าเกลียดนัก หมายความว่า การที่ได้อยู่ร่วมกับคนที่เราไม่รักนั้น เป็นทุกข์
2. ตัวเรานั้นรัก เขาไม่รัก รักนี้ทนทุกข์นัก หมายความว่า การที่ไม่ได้อยู่ร่วมกับคนที่เรารักนั้น เป็นทุกข์
3. ตัวเรานั้นรัก เขาก็รัก รักนี้ดียิ่งนัก หมายความว่า ต่างฝ่ายต่างได้อยู่ร่วมกันด้วยจิตใจที่ตรงกัน ไม่แบ่งแยก และได้อยู่ร่วมกันอย่างสามัคคีกันนั้น เป็นสุข
4. ตัวเราไม่รัก เขาไม่รัก รักนี้ประเสริฐนัก หมายความว่า ต่างฝ่ายต่างมีจิตใจ ตรงกัน ไม่มีความรัก ไม่มีความเกลียดซึ่งกันและกัน และปฏิบัติธรรม เพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์ และได้ความสุขที่แท้จริง คือ พระนิพพาน
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒ ก.ย. ๕๒
เมื่อวานนี้มีคณะผู้ปฏิบัติธรรมจากโรงพยาบาลสารภี ๑๑ คน และโยมจากเชียงใหม่ กรุงเทพ อีก ๓ คน รวมเป็น ๑๔ คน ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัด เป็นเวลา ๓ วัน ทุกคนก็ต่างตั้งใจในการปฏิบัติธรรมกันเป็นอย่างดี เพราะคนเรานั้นรู้วันเกิดแต่ไม่รู้วันตายว่าจะมาเมื่อไหร่ แต่สุดท้ายทุกคนก็ต้องตายอย่างแน่นอน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้เราระลึกถึงความอยู่เสมอ เพื่อที่เราจะได้เป็นผู้ไม่ประมาทต่อชีวิต คิดสร้างความดีทำความดีอยู่เสมอ เพื่อที่เตรียมรับกับความตายที่จะมาถึงไม่ช้าก็เร็ว เพื่อที่จะได้พบสันติสุขที่แท้จริงในใจของเราเอง
นึกถึงความตายสบายนัก มันหักรักหักหลงในสังขาร บรรเทาสิ่งมืดมิดอันธการ ทำให้หาญหายสะดุ้งไม่ยุ่งใจ
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๕ ก.ย. ๕๒
ได้มีโอกาสพาคณะครูบาอาจารย์และญาติโยมไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดียประมาณ ๑๐ กว่าครั้ง โดยส่วนตัวได้ไปมาแล้ว ๑๘ ครั้ง การไปอินเดียแต่ละครั้งรู้สึกชื่นอกชื่นใจเพราะได้ไปปฏิบัติธรรม และพิจารณาธรรมสังเวชว่า พระพุทธองค์แม้จะเป็นบุคคลที่เลิศที่สุด จะหาใครเสมอเหมือนไม่มีอีกแล้ว แต่พระองค์ก็ต้องดับขันธปรินิพพาน ไม่สามารถหนีกฎแห่งความจริงไปได้ คือต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตายเป็นของธรรมดา
ปัจจุบันมีผู้แสดงเจตนาที่จะไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดียจำนวน ๓๔ รูป/คน ซึ่งได้จองที่นั่งเครื่องบินไว้ ๓๐ ที่ ต้องขอที่นั่งเพิ่มและเป็นเช่นนี้เสมอในการไปแสวงบุญ ณ ประเทศอินเดียแต่ละครั้ง ผู้ที่ไปแล้วก็อยากไปอีก ไม่รู้จักเบื่อหน่ายทั้งนี้เพราะการไปแต่ละครั้ง เมื่อมีความตั้งใจในการทำความดี จะมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้นเหมือนทะเลที่ค่อยๆลุ่มลึกลงไปเรื่อยๆ ไม่ลาดชันเหมือนหน้าผาหรือเหว ความปิติสุขย่อมลุ่มลึกไปตามลำดับ ตามความดีที่ได้ปฏิบัติอย่างไม่ท้อถอย เพื่อหวังที่สุดคือพระนิพพาน อันเป็นบรมสุขอย่างยิ่ง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๘ ก.ย. ๕๒
การปฏิบัติธรรมเมื่อได้กระทำอย่างต่อเนื่อง ทำที่ตนประพฤติดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้ ในปัจจุบันธรรมที่ได้กระทำอย่างที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน จิตใจมีความสุข เย็น สบาย เป็นความสุขที่ไม่สามารถหาซื้อได้ด้วยเงินทองหรือแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งใดๆในโลกนี้ บางครั้งก็รำพึงในใจว่า สุขหนอ สุขหนอ นี่แหละธรรมของพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนว่า “ ที่พึ่งที่แท้จริงสามารถหาได้ในตัวของเรานี่เอง ” ดั่งที่พระองค์ทรงตรัสว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ใครอื่นไหนเล่าจะเป็นที่พึ่งให้เราได้ เมื่อเราหาที่พึ่งในตัวของเราเองได้ ย่อมได้ที่พึ่งซึ่งหาได้ยากยิ่งนัก
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๙ ก.ย. ๕๒
วันนี้มีพระภิกษุกายเซน ชาวญี่ปุ่นได้มาเยี่ยมทีวัด พระทาคาสิได้ให้การต้อนรับ ได้ฉันภัตตาหารเช้าพร้อมกัน ตอนเย็นมีการอบสมุนไพร ในระหว่างอบสมุนไพรพระองค์นี้ได้สอบถามอาตมาโดยพระทาคาสิได้แปลให้ฟังว่า พระอาจารย์บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนามีจุดมุ่งหมายเช่นไร ได้ตอบท่านว่า บวชเข้ามาเพื่อปรารถนาความพ้นทุกข์เข้าถึงซึ่งพระนิพพานอันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุด ได้สอบถามอีกว่าจะทำเช่นไรจึงจะเข้าถึงจุดหมายปลายทางได้ ได้ตอบว่าต้องพยายามมีสติอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด และถามอีกว่าทำอย่างไรจึงจะมีสติ ได้ตอบว่าให้เจริญอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก พระทาคาสิได้สอบถามว่า การปฏิบัติธรรมเมื่อผู้ปฏิบัติได้รับผลคือความสุข แล้วใครเล่าเป็นผู้รับ ได้ตอบว่าผู้รับความสุขที่แท้จริงนั้นคือผู้ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้ ที่จริงแล้วต้องอธิบายอีกหลายอย่างในเรื่องของ ศีล สมาธิ และปัญญา แต่มีเวลาสนทนากันน้อยจึงได้พูดกันโดยย่อแต่เพียงเท่านี้
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๒ ก.ย. ๕๒
พระญี่ปุ่นอายุประมาณ ๒๕ ปี ได้มาพูดคุยก่อนที่จะลาหลับในตอนเที่ยงของวันนี้ เขากำลังตัดสินใจที่จะมาบวชเป็นพระในประเทศไทย เขาชอบวัดพระพุทธบาทตะเมาะแห่งนี้เป็นอย่างมากและมีแนวโน้มที่จะมาอยู่วัดแห่งนี้ อาตมาแสดงความยินดีถ้าเขาจะมาอยู่ด้วย เขาบอกว่าพระนิกายเซนในประเทศญี่ปุ่น มีระเบียบที่เคร่งครัดหลายอย่างตามแบบฉบับของคนญี่ปุ่น แต่ขาดในเรื่องของธรรมวินัย จึงทำให้พระดูจะเป็นเหมือนคนทั่วไป เพราะส่วนใหญ่พระในประเทศญี่ปุ่นสามารถมีภรรยาได้ ทำงานเหมือนคนทั่วไปแตกต่างที่ว่างานพิธีกรรมต่างๆในพระพุทธศาสนา พระจะรับหน้าที่นี้
จะเห็นได้ว่าการปฏิบัติแม้จะปฏิบัติเคร่งครัดสักเพียงไร แต่ถ้าปฏิบัติไม่ถูกต้องแล้ว ย่อมถึงที่หมายไม่ได้เลย คนในปัจจุบันนี้ส่วนมากชอบได้อะไรที่ด่วนๆไวๆ ไม่ค่อยมีความอดทนไม่ได้ก็ใจร้อน สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเป็นทางตรงทางลัดเห็นว่าเป็นของง่ายเกินไปไม่อยากทำ ชอบทำอะไรที่มันแตกต่างออกไป แล้วก็พากันวิ่งหาสิ่งที่ไกลตัวออกไป แต่ยิ่งวิ่งมันก็ยิ่งไม่พบทาง และเมื่อไหร่ที่ถึงความเหนื่อยล้า แล้วกลับเข้าทางในตัวของเราเอง นั่นแหละทางแห่งมรรคผลนิพพานจะบังเกิดในตัวของผู้ปฏิบัตินั้นๆได้
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๓ ก.ย. ๕๒
วันนี้ได้มีโอกาสดูวีดีโอที่พระอาจารย์บุญถม นำมาให้ในเรื่อของการระลึกชาติของนายเดชฤทธิ์ ซึ่งเป็นชาวจังหวัดศรีษะเกษ อดีตเขาเคยเป็นโจรลักควายชาวบ้านแล้วถูกเพื่อนๆฆ่าตาย แต่ด้วยคุณงามความดีก่อนที่เขาจะตายได้ทำบุญในพระพุทธศาสนา เขาจึงได้กลับมาเกิดอีกหลังจากที่ตายไปไม่นาน เขาสามารถระลึกชาติในอดีตได้ทั้งหมด ซึ่งในหลักของพระพุทธศาสนาพระพุทธองค์ก็ทรงรับรองในเรื่องนี้ ว่าการตายแล้วเกิดนั้นเป็นเรื่องจริง ดังนั้นพวกเราทั้งหลายจงอย่าประมาทต่อชีวิต จงรีบทำความดีสร้างความดีเพื่อให้ถึงซึ่งความสุขที่แท้จริงในตัวของเราเอง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๖ ก.ย. ๕๒
ยิ่งปฏิบัติมากยิ่งเห็นว่ากิเลสแม้เพียงเล็กน้อย มันเหมือนกับว่าเป็นกิเลสกองใหญ่ ต้องทำความเพียรแล้วทำความเพียรอีก เพื่อหวังว่าสักวันหนึ่ง สิ่งที่ทำลงไปจะถึงพร้อมด้วยความพอดี ที่จะทำจิตให้บริสุทธิ์จากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย จะถึงเมื่อไหร่นั้นไม่สำคัญ สำคัญที่ว่า จงมีสติอยู่กับปัจจุบัน นั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๔ ก.ย. ๕๒
วันนี้เมื่อว่างได้ปฏิบัติธรรมตลอดเวลา ขณะเดินไปมามีความรู้สึกอิ่มและปิติในใจเป็นอย่างยิ่ง กิเลสส่วนใดที่มีก็รู้อยู่ คิดพิจารณาดูว่าเราติดสุขอยู่หรือหนอ ถึงได้มีความสุขเช่นนี้ ดูแล้วก็มิได้ยินดีในความสุข ยิ่งปล่อยวางจิตใจก็ยิ่งมีความสุข “ สัพเพ ธัมมานาลัง อภินิเวสายะ ธรรมอันบุคคลไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ” ธรรมอันนี้นี่เองที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ ว่าเป็นสุดยอดของธรรมทั้งปวง ผู้ปฏิบัติและเข้าถึงความจริงอันนี้ จึงสามารถเข้าใจได้อย่างแจ่มชัดด้วยตัวของผู้นั้นเอง เมื่อเราทำจริงปฏิบัติจริง ความอาจหาญก็จะบังเกิดขึ้นแก่เรา เพราะธรรมที่ประพฤติดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๗ ก.ย. ๕๒
วันนี้คณะนายแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสารภี นำโดยนายแพทย์จรัส สิงแก้ว ผู้อำนวยการโรงพยาบาล และคณะ จำนวน ๑๒ คน ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัด เป็นเวลา ๓ วัน ๒ คืน เป็นคณะที่ ๔ และเป็นคณะสุดท้าย ที่ทางโรงพยาบาลได้จัดให้เจ้าหน้าที่เข้ารับการปฏิบัติธรรม เพื่อสุขภาพชีวิตที่ดี ถ้ามีผู้นำที่สนใจในเรื่องนี้มากๆ สังคมบ้านเมืองของเราคงจะสงบกว่านี้อีกมาก สาธุ ขออนุโมทนาความดีที่ร่วมกันกระทำนี้ทุกๆคน
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๘ ก.ย. ๕๒
คืนวันที่ ๑๙ ก.ย. ได้สนทนาธรรมกับคณะผู้ไปปฏิบัติธรรมที่วัด โยมคุณหมอจรัส สิงแก้ว ได้เล่าให้ฟังว่า ท่านได้ปฏิบัติธรรม โดยเพ่งอสุภะกรรมฐาน มองดูร่างกายว่าเป็นของไม่สวยงาม พิจารณากระดูกภายในร่างกาย เห็นความไม่เที่ยงของร่างกาย สุดท้ายมีแสงสว่างเกิดขึ้นมาภายใน ความรู้สึกว่าร่างกายได้หายไป เหลือแต่ความสว่างของจิต จิตเบาสบายดี นี่แหละที่เป็นผลของการปฏิบัติธรรม ย่อมมีอะไรเกิดขึ้นภายในจิตอย่างมากมาย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วให้พิจารณาแล้วก็ปล่อยวาง เพราะธรรมชาติของจิตมักมีอาการต่างอย่างนี้เสมอ ถ้าคนไม่รู้แล้วคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้ ย่อมทำให้ไม่เจริญก้าวหน้า ในธรรมที่กำลังปฏิบัติ ดังนั้นการรักษาจิตแล้วปล่อยวาง จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ของผู้ปรารถนาความพ้นทุกข์ทุกๆคน
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๐ ก.ย. ๕๒
คนส่วนมากชอบคร่ำครวญถึงอดีตที่ผ่านมาแล้ว และพะวงถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ชอบวาดฝันและคิดไปต่างๆนาๆ ชอบคิดเพื่อที่จะทำร้ายตนเอง มักหาเหตุแก้ตัวในการทำความดีเรื่อยไป แล้วจะหาความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร ผู้รู้ย่อมปล่อยวาง ช่วยเท่าที่จะกระทำได้ และปล่อยให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมของแต่ละบุคคลที่ได้กระทำไว้ ส่วนผู้ไม่ประมาทย่อมเร่งสร้างความดี ทำจิตใจให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง เพื่อละกิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่มีอยู่ให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๑ ก.ย. ๕๒
โยมแตได้มาปรึกษาว่าจะพิมพ์หนังสือวิธีสร้างบุญบารมี พระนิพนของสมเด็จพระญาณสังวรพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน ได้จัดพิมพ์ไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังมีความปรารถนาจะจัดพิมพ์เพื่อแจกเป็นธรรมทานอีก เพราะเห็นว่าเป็นหนังสือที่ดี มีประโยชน์ จึงได้บอกบุญญาติโยมร่วมกันสร้างให้ครบจำนวน หนึ่งหมื่นเล่ม ญาติโยมเมื่อทราบก็ร่วมกันทำบุญกันเป็นอย่างดี ดังนั้นการทำความบุญกุศล ผู้มีปัญญาย่อมไม่รู้สึกอิ่มในบุญที่ตนเองได้กระทำ เพราะบุญย่อมนำความสุขมาให้ทั้งในปัจจุบัน และภายภาคหน้าสืบไป
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๒ ก.ย. ๕๒
โดยปกติจิตของคนที่มีกิเลส มักชอบติเตียนบุคคลอื่น มองแต่ความไม่ดีของบุคคลอื่นว่า ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ผู้รู้ทั้งหลายมักตำหนิติเตียนตนเอง คอยแก้ไขตนเอง ไม่เพ่งโทษบุคคลอื่น เพราะผู้ปฏิบัติเมื่อถึงความสงบในใจของตนเองแล้ว ย่อมทราบดีว่า การเพ่งโทษคนอื่นเพราะอาศัยโทสะเป็นพื้นฐาน เป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ ผู้มีปกติพิจารณากายใจของตนเอง หาข้อบกพร่องของตนเอง ย่อมได้รับผลคือความสงบสุข ในใจของตนเองอย่างแน่นอน
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๕ ก.ย. ๕๒
วันนี้ได้มีโอกาสเข้าห้องอบสมุนไพร ซึ่งพระที่วัดจะเข้าอบสมุนไพรก่อนวันพระ ๑ วัน มีการใช้ฟืนเพื่อหุงต้มให้เกิดความร้อน เมื่อก่อนพระท่านใช้ฟืนมาก(กว่าวันนี้ประมาณ ๒ เท่า) ปรากฏว่าไอน้ำที่ออกมาไม่คอยร้อนเท่าที่ควร เป็นเช่นนี้อยู่หลายหลัง จนกระทั้งครั้งที่แล้วพระอาจารย์บุญถม อดีตตอนเป็นคฤหัสถ์ท่านเคยต้มเกลือสินเทาทางภาคอีสาน ท่านแนะนำให้ใส่ฟืนพอดี อย่าใส่มากเกินไป เพราะการใส่ฟืนมากเกินไปจะทำให้ความร้อนออกมาข้างนอก แทนที่จะไปร้อนที่ก้นหมอ ปรากฏว่าคำแนะนำของท่านได้ผล ไฟร้อนได้ที่ดี ไอน้ำก็ออกมาได้มาก การอบตัวก็ได้ผลดีใช้เวลาไม่มาก
เช่นเดียวกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้ปฏิบัติทางสายกลาง ไม่ตึงและหย่อนจนเกินไป การปฏิบัติจึงจะสำเร็จผลตามที่ตนเองพึงปรารถนา
ต้องทำและปฏิบัติจึงจะพบทางสายกลาง จะพบโดยปราศจากการปรารภความเพียรนั้นไม่มีเลย
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๖ ก.ย. ๕๒
ที่ว่าการปฏิบัติทำความเพียรนั้น เป็นการทำความเพียรทั้งทางกายและทางจิต โดยการนั่งสมาธิ เดินจงกรม พิจารณาธรรมในหัวข้อต่าง ๆ เป็นความเพียรที่มีผลดีทั้งต่อร่างกายและจิตใจ สุขภาพก็ดี การปฏิบัติไม่ต้องไปแบกหามอะไร แต่กิเลสของมนุษย์มันเร่าร้อน มักสอดส่ายไปในอารมณ์ต่าง ๆ ยอมเหนื่อยยากทางกาย เพื่อให้ได้วัตถุสิ่งของมาสนองความต้องการของตน แล้วก็หลงวนเวียนอยู่ในวัฏฏะสงสาร ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย เช่นนี้ร่ำไป
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๗ ก.ย. ๕๒
มักมีครูบาอาจารย์นำการปฏิบัติธรรมมาเผยแพร่ในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งท่านเหล่านั้นก็ยืนยันว่า สิ่งที่ท่านแนะนำเป็นทางตรง และทางลัด ในการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงสัจจะธรรม มีมรรคผลนิพพานเป็นที่สุด แต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดหรือไม่ แต่สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ มีอยู่ที่เป็นแบบแผนในตำราที่เป็นของเก่านั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุด และไม่ต้องมาคิดลังเลสงสัยว่าถูกต้องหรือไม่ เพียงแต่ให้เราลงมือปฏิบัติให้จริงจังเท่านั้นเอง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๘ ก.ย. ๕๒
“ ..โยมหล้าเป็นทั้งมักคทายก คนขับรถ และงานอื่น ๆ ภายในวัดพระพุทธบาทตะเมาะ วันหนึ่งได้ไปที่กรุงเทพฯ เข้าไปหาซื้อของในเมือง ได้นำรถไปจอดไว้แล้วไปทำธุระ เมื่อกลับมาโยมหล้ามองที่ท้ายรถเห็นรอยขูดขีดเต็มไปหมด ตนเองคิดว่า น่าจะมีมือดีมาขูดขีดทำให้เกิดความเสียหายเสียแล้ว โยมหล้าเป็นทุกข์อยู่หลายวัน ส่วนอาตมานั้นคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะครูบาอาจารย์ได้สั่งสอนไว้ว่า “ เมื่อเห็นอะไรใหม่ ให้เรามองจนถึงที่สุดว่า ในไม่ช้ามันก็ต้องเก่าและเสื่อมสลายไปในที่สุด ” เมื่อกลับถึงวัดโยมหล้าได้ทำความสะอาดที่ท้ายรถ ประกฎว่ารอยขูดขีดนั้นหายไป เนื่องจากรอยที่เกิดขึ้นนั้น เป็นรอยของขี้ดินที่กระเด็นขึ้นมาจากพื้นดิน เมื่อขณะขับขี่รถยนต์ด้วยความเร็ว ดังนั้นเราควรทำใจอยู่เสมอว่า ทุกสิ่งทุดอย่างในโลกนี้มีความเกิดขึ้นแล้ว ย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นของธรรมดา จิตใจของเราจะได้เบาสบาย เพราะผลอันเกิดจากการปล่อยวางนั้น ”
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๙ ก.ย. ๕๒
“..ได้มีโอกาสอ่านพระบรมราโชวาทและพระดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก พระองค์ท่านเป็นพระราชาผู้ทรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรม อันยากที่จะหาบุคคลใดในโลก ที่จะเสมอเหมือนพระองค์ บุญบารมีของพระองค์มีมากทำประเทศชาติของเราร่มเย็นเป็นสุข ตราบจนทุกข์วันนี้ ”
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๓๐ ก.ย. ๕๒
“...ทศพิธราชธรรม ธรรม ๑๐ ประการของพระราชา ซึ่งเป็นจริยวัตรที่พระราชาพึงประพฤติ คือ ๑. ทาน ให้เพื่อบำรุงสุข ๒. ศีล ประพฤติเป็นสุจริต ๓. บริจาค สละเพื่อประโยชน์ยิ่ง ๔. อาชชวะ ตรง คือ ยุติธรรม ๕. มัททวะ คือ สุภาพอ่อนโยน ๖. ตบะ เพียรกล้า ๗. อักโกธะ ไม่ดุร้ายกาจ ๘. อวิหิงสา ไม่เบียดเบียน ๙. ขันติ อดทน ๑๐. อวิโรธนะ ไม่ทำผิด (ทั้งรู้) ธรรมเหล่านี้สามารถนำไปปฏิบัติได้สำหรับทุกคน เพื่อความเจริญก้าวหน้าของตนเอง... ”
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑ ต.ค. ๕๒
“....ครูบาอาจารย์ผู้รู้ทั้งหลายได้กล่าวว่า การเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆนั้น ไม่สามารถเดินทางทับเป็นรอยเดียวกันได้ทั้งหมด ฉันใด การปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์นั้น มิใช่ว่าจะต้องมีการปฏิบัติเป็นในแนวทางเดียวกันตลอด ฉันนั้น เพราะจริตนิสัยแต่ละคนไม่เหมือนกัน ย่อมมีการปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไป ตามแต่จริตนิสัยของบุคคลนั้น ๆ ผู้มีปัญญาย่อมเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าต้องการให้บุคคลอื่นมาประพฤติปฏิบัติเหมือนตนเอง ย่อมทำความเดือดร้อนให้ตนเอง เพราะการทำเช่นนี้ ย่อมสร้างความไม่สมหวังให้กับตนเองอย่างแน่นอน...”
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๓ ต.ค. ๕๒
ครูบาอาจารย์ท่านได้กล่าวไว้ว่า “ ใครจะด่าใครจะว่าเรา เราอย่าไปสนใจคำด่าว่าร้ายของเขาเลย ของที่ไม่ดีมีอยู่ในตัวเรามากมาย น่ารักเกียจไม่แพ้ของภายนอกเหมือนกัน คนเราผูกพันรักใคร่ชื่นชมกันก็แต่ร่างกายภายนอก เห็นว่าสวยเห็นว่างาม แต่ที่จริงแล้วมันไม่มีอะไรที่น่ายินดี เหมือนคนตกเบ็ดที่เอาเหยื่อล่อให้ปลามาหลงกินเบ็ด เมื่อกินติดเข้าไปแล้วไม่สามารถจะออกได้ ความสวยงามเปรียบเหมือนเหยื่อที่ล่อให้คนหลงใหลเพลิดเพลิน พอติดเข้าไปแล้วก็ยากที่จะหลุดพ้นออกมาได้ การจะเห็นโทษภัยได้นั้นต้องใช้การภาวนาเพ่งดูอยู่ภายในร่างกายของเรา ได้รับรู้ถึงความสุขอันเกิดจากการปล่อยวาง ซึ่งเป็นความสุขที่หาอะไรเปรียบมิได้อีกแล้ว แต่กามราคะ เป็นความสุขชั่วคราว ที่จะติดตามมาด้วยความทุกข์อย่างมหันต์ในภายหลัง ”
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๔ ต.ค. ๕๒
“ ...อาตมาได้มีโอกาสพูดคุยกับครูท่านหนึ่ง ปัจจุบันมีสามีและลูกอีก ๑ คน โยมคนนี้บอกว่า ถ้าย้อนอดีตกลับไปได้ ก็คงจะไม่ขอแต่งงาน เพราะเห็นความทุกข์อันเกิดจากการมีคู่ครอง มิหนำซ้ำตนเองได้ป่วยเป็นโรคร้ายแรง ไม่แน่ใจว่าจะมีอายุบยืนยาวนานได้สักเพียงไร ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ และความประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจก็เป็นทุกข์ พวกเราจงทำดีกันต่อไป เพื่อหวังให้ถึงซึ่งความสุขที่แท้จริง คือพระนิพพาน อันเป็นบรมสุขอย่างยิ่ง...”
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๕ ต.ค. ๕๒
“...ได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าของร้านกระจก อลูมิเนียมที่ตัวเมืองเชียงใหม่ เมื่อวานนี้ถึงเรื่องการดำรงชีวิตที่ต้องต่อสู้ทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด โยมคนนี้เล่าให้ฟังว่า เมื่อสมัยตอนเป็นเด็กไม่อยากจะเรียนหนังสือ อยากและใฝ่ฝันที่จะมีงานทำ พอโตขึ้นมามีงานทำ ถ้าเป็นลูกจ้างทั่วไปคงอยากจะให้ถึงวันที่เงินเดือนออกเร็ว ๆ เพราะจะได้นำเงินที่ได้ไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของตน ส่วนตนเองตนนั้น มีลูกน้องที่ต้องรับผิดชอบอยู่ ๑๐ กว่าคน จิตใจไม่อยากให้ถึงวันเงินเดือนออกเลย เพราะรู้ว่าภาระที่จะต้องใช้จ่ายนั้นมีมาก ดังนั้น จะเห็นได้ว่าความคิดของคนเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน ส่วนมากมีความคิดที่มักเข้าข้างตนเอง แต่ธรรมชาติย่อมไม่ตอบสนอง ความต้องการของมนุษย์ผู้มีกิเลสอย่างแน่นอน แต่ผุ้ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์มักคิดเสมอว่า “ ทำอย่างไรหนอ ตนเองจึงสามารถที่จะมีสติอยู่กับปัจจุบัน และไม่หวังสิ่งใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อ ควาโลภ ความโกรธ ความหลง อยากได้ในสิ่งที่ไม่มีอะไร แต่สิ่งที่ไม่อะไรนี่แหละเป็นสิ่งนำมาเพื่อความสุขอย่างยิ่ง ” ....”
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๖ ต.ค. ๕๒
“...เมื่อวันที่ ๕ ต.ค. ที่ผ่านมา ในตอนเช้าได้ไปแวะที่ ร.พ.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ นายแพทย์ จรัส และคณะเจ้าหน้าที่ได้มาร่วมกันทำบุญ เห็นแล้วน่าอนุโมทนาที่มีผู้นำที่ดี ทำให้สังคมมีความสุข ถึงแม้โลกนี้จะวุ้นวายด้วยสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ แต่พระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าย่อมแก้ปัญหาได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ในขณะที่กำลังสนทนาธรรมกันอยู่นั้น มีเจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งอายุประมาณไม่ถึง ๓๐ ปี ได้มาทำบุญ และได้ระบายความทุกข์ อันเกิดจากความไม่สมหวังในชีวิตคู่ครอง อาจจะต้องแยกทางกันเพราะแนวความคิดที่ไม่ตรงกัน อาตมาได้ฟังโยมนายแพทย์จรัสและโยมเจี๊ยบ พูดให้กำลังใจต่าง ๆนา ๆ ฟังแล้วมีแต่ความคิดที่ดี ความคิดที่สร้างสรรค์ ความคิดที่ไม่ก่อเวรภัยกับใคร โดยให้ยึดเรื่องของกรรมเป็นใหญ่ เน้นการแก้ปัญหาที่ตนเอง ทำให้ผู้ที่ได้รับความทุกข์เกิดความสบายใจ ดังนั้นการมีกัลยาณมิตรที่ดีจึงเป็นสิ่งที่สำคัยอย่างยิ่ง...”
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๗ ต.ค. ๕๒
“...โยมแตเป็นอาจารย์สอนระดับปริญญาโท และกำลังเรียนต่อปริญญาเอก อยู่ที่ จ.ปทุมธานี ได้เล่าให้ฟังว่า แม่ของตนชอบทำบุญตามวัดต่าง ๆ ทางภาคใต้ ซึ่งเป็นบ้านเกิด โยมก็คิดว่าอยากให้แม่ได้ทำสมาธิภาวนา เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนี้แล้วตนเองจึงได้ทำสมาธิภาวนา แล้วอุทิศให้แม่ได้เข้าวัดปฏิบัติธรรมบ้าง ประมาณ ๑ เดือนหลังจากที่ได้แผ่เมตตาทุกวัน แม่ของตนมีจิตอยากจะไปปฏิบัติธรรม จึงได้ไปถือศีล ๘ ที่วัด และทำสมาธิภาวนา ในขณะที่ฏิบัติธรรมอยู่นั้น ปรากฏว่ามีความรู้สึกว่าร่างกายได้หายไป และเกิดผลคือ เกิดความสุขที่ไม่เคยพบมาก่อนเลย จึงได้สนใจใฝ่รู้และปฏิบัติธรรมมาโดยตลอด จนถึงปัจจุบัน เพราะเห็นอานิสงส์ของการปฏิบัติธรรม อีกอย่างหนึ่งแม่ของโยมชอบจัดหาสิ่งของไปถวายตามวัดที่ตนศรัทธา ปรากฏว่าหลังจากไปทำบุญกลับมาแต่ละครั้ง จะมีคนมาซึ้อของที่ตนขายได้มากกว่าปกติ มักเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง จึงเกิดศรัทธาในผลบุญที่ตนได้กระทำ
จะเห็นได้ว่า การทำบุญนั้นย่อมส่งผลให้ผู้กระทำนั้นได้รับ ไม่ช้าก็เร็ว แต่บางคนมักบ่นว่า ทำบุญแล้วไม่เห็นมีอะไรตอบแทนเลย บุญทำไมจึงตอบสนองช้าเหลือเกิน เหตุเป็นเช่นนี้เพราะพื้นฐานการทำบุญ ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่บุญกุศลในด้านจิตใจย่อมได้รับในขณะที่ทำบุญนั้นเอง ส่วนวัตถุนั้นจะติดตามมาในภายหลังอย่างแน่นอน...”
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๘ ต.ค. ๕๒
“...หลวงพ่อครูบาวงศ์ เป็นพระมหาเถระที่อาตมาเคารพเป็นอย่างยิ่ง ครั้งแรกที่ได้พบกับท่านเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๒๒ มีความเคาพรักท่านเป็นอย่างมาก เหมือนพ่อกับลูกที่จากกันไปนานแล้วได้มาพบกัน เมื่ออุปสมบทจึงได้มาอยู่รับใช้ท่านที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม เป็นเวลา ๒ พรรษา ท่านเป็นพระที่มีสติปํญญาเฉลียวฉลาด เวลาจะสั่งสอนอะไรท่านจะไม่พูดตรง ๆ แต่จะยกนิทานธรรมะต่าง ๆ มาเล่าให้ฟัง เมื่อคิดตามจึงได้น้อมนำมาแก้ไขตนเอง
เรื่องหนึ่งที่ท่านสอน เกี่ยวกับการถ่ายวิชาความรู้ของครูบาอาจารย์ในอดีต ที่จะให้แก่ศิษย์ของตน อันดับแรกต้องมีการทดสอบดูว่า ศิษย์มีความศรัทธาในตนเองแค่ไหน โดยนำศิษย์เข้าไปในป่าที่มีขวากหนาม อาจารย์และศิษย์ต่างก็มีมีดคนละ ๑ ด้าม อาจารย์จะนำศิษย์เข้าไปในที่นั้น โดยที่อาจารย์จะไม่เอามีดถากถางทางที่รกนั้น จะเดินแหวกทางเดินไปมา เพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าศิษย์คนใดอวดดีคิดว่าอาจารย์ทำไมถึงไม่ใช้มีดถางทาง ดังนี้แล้วตนเองจึงเอามีดถางทางที่เดินไปเพื่อความสะดวกสบาย ดังนี้แล้วอาจารย์จะไม่ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ศิษย์นั้นเลย เพราะเห็นว่าศิษย์นั้นไม่เคารพอาจารย์ เรียนไปอาจจะนำวิชาความรู้ไปใช้ในทางที่ผิด ส่วนศิษย์คนใดสังเกตุดูอาจารย์ว่าทำเช่นไร แล้วทำตามอาจารย์ทุกอย่าง อาจารย์ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น มีความเคารพในครูบาอาจารย์ เพราะคิดว่าอาจารย์ต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างหนึ่ง จึงได้ทำเช่นนี้ ศิษย์นั้นย่อมได้รับการถ่ายทอดความรู้จากครูบาอาจารย์ เพราะการเล่าเรียนวิชาความรู้ บางครั้งต้องเรียนแบบคนโง่ อาจารย์ว่าเช่นไรต้องทำอย่างนั้นไปก่อน เพราะอาจารย์อาจจะแกล้งทำเพื่อลองใจศิษย์ ว่ามีความเคารพในอาจารย์แค่ไหน เมื่อเรียนแล้ว ถูกผิดประการใด มาพิจารณาในภายหลัง
การที่เราจะเรียนวิชาความรู้ มอบตัวเป็นศิษย์กับใคร เราก็ตองพิจารณาแล้วว่า อาจารย์ของเราเป็นคนดี มีวิชาความรู้ที่จะถ่ายทอดให้เราได้ และสิ่งที่ท่านสอนนั้นไม่ผิดหลักศีลธรรม มิใช่ว่าจะเชื่ออาจารย์ในเรื่องทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าบุคคลใดสอนในสิ่งที่ไม่เป็นศีลเป็นธรรม ก็ควรจะออกห่าง เพราะจะทำให้เราตกต่ำ เมื่อคบกับบุคคลนั้น ๆ...”
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๙ ต.ค. ๕๒
“....ปีนี้ตั้งใจว่าจะพาครุบาอาจารย์และญาติโยมไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย ในเดือน พฤศจิกายน ๒๕๕๒ โดยอยู่ภาวนาที่พุทธคยาเป็นส่วนใหญ่ คิดว่าคงมีคนไปไม่เกิน ๒๐ ท่าน เพราะระยะเวลาที่ไป ๒๐ วัน แต่ปรากฏว่ามีผู้เจตนาจะร่วมเดินทางประมาณ ๕๐ กว่าคน ส่วนมากผู้ที่เคยไปแล้ว ได้บอกต่อ ๆกันไป อาตมามีความตั้งใจว่า การจัดไปแสวงบุญในแต่ละครั้ง จะไม่หวังผลกำไรแต่ประการใด การไปแต่ละครั้งที่ไม่ขาดทุน เพราะผู้มีจิตศรัทธาหลายท่าน ร่วมทำบุญในการไปแสวงบุญแต่ละครั้ง กลับจากการไปแสวงบุญแล้ว ครุบาอาจารย์และญาติโยมต่างก็มีศรัทธาในศาสนามากยิ่งขึ้นเป็นส่วนมาก เมื่อพิจารณาดูแล้ว เป็นสิ่งที่มีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง...”
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๐ ต.ค. ๕๒
“...คนเรามักคิดว่า บุคคลที่อยู่กับเรา ไม่จำเป็นต้องพูดดีด้วยก็ได้ ควรพูดดีกับคนที่ไม่ค่อยคุ้นเคยจะดีกว่า การที่มีความคิดเช่นนี้ ย่อมนำความเดือดร้อนมาให้ในสังคมนั้น ๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แท้ที่จริงแล้ว เราต้องทำดีพูดดีกับคนที่ใกล้ตัวเราให้มากที่สุด เพระถ้าทำได้ย่อมนำความสุขมาสู่สังคนนั้น ๆ ไม่เป็นการทำร้ายน้ำใจซึ่งกันและกัน...”
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๑ ต.ค. ๕๒
“...การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ควรมีความหวังว่าเราจะหาหนทางอันประเสริฐ แล้วเดินตามทางอันประเสริฐนั้น มิใช่ว่าคอยแต่โชคลาภวาสนาเพียงอย่างเดียว การทำความดีนั้น มิใช่ว่าจะปรากฏผลในระยะเวลาอันสั้น ต้องมีความเพียรทำแล้วทำอีกอย่างไม่ลดละ ส่วนผลที่ได้รับ ย่อมนำความภาคภูมิใจมาให้ตนในภายหลังอย่างแน่นอน...”
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๒ ต.ค. ๕๒
“...ไมค์กับวาสนาสองสามีภรรยา ได้มาช่วยทางวัดออกแบบลวดลายต่าง ๆ ในการแกะสลักพระเจดีย์หินทราย ทั้งสองมีอุดมคติที่ดี ไม่เห็นว่าเงินเป็นใหญ่ ความสุขนั้นอยู่ที่ใจของเรา วาสนาชอบวาดภาพและส่งประกวดในวาระต่าง ๆ และได้รับรางวัลระดับประเทศอยู่เสมอ ๆ สองเดือนที่แล้วได้รับการคัดเลือกไห้ได้รับรางวัลทีหนึ่ง นี่แหละการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ย่อมได้รับผลอย่างไม่คาดคิดเสมอ
การที่จะทำอะไรให้ดีกว่าบุคคลอื่นนั้น ที่จริงแล้วไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแต่จิตของบุคคลนั้น ๆ ต้องเข้าถึงความเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด คนเราจะทำอะไรก็ต้องลอกเรียนแบบธรรมชาติ เพราะธรรมชาตินั้นมีแต่ความเสียสละ มีแต่ให้ และผู้ให้ย่อมได้รับผลที่ดี อันเนื่องมาจากการเสีบสละในสิ่งที่ตนได้ให้นั้น...”
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๓ ต.ค. ๕๒
“...คนเรามักมีความทุกข์อยู่กับกาลเวลา เช้านี้ต้องทำเรื่องนี้ เย็นนี้ต้องทำเรื่องนั้น จิตสารพัดที่จะวุ่นวายไปในสิ่งต่าง ๆ ถ้าเราเป็นผู้รู้คอยดูสิ่งที่เราทำด้วยความมีสติ ความทุกข์จะเบาบางลงไปตามลำดับ เพราะสิ่งที่เราดู รู้ และทำลงไป มันเป็นสิ่งสมมุติของกาลเวลา ที่จริงแล้ว ตัวเวลามันไม่รู้ตัวมันเองหรอก แต่คนเราไปสมมุติมั่นหมายในตัวเวลานั้น คนเราจึงเครียดและทุกข์กับกาลเวลาที่เราสำคัญมั่นหมายนั้นแหละ จะทำลายสมมุติได้ต้องอาศัยการปฏิบัติ ตามพระสัทธรรมของพระพุทธองค์แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น...”
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๔ ต.ค. ๕๒
“.....พระอาจารย์ถนอม เป็นพระมหายาน เป็นคนไทยที่ไปบวชเป็นพระที่ประเทศไต้หวัน ได้มาพักที่วัด ๔ วัน ท่านได้สอนญาติโยมเกี่ยวกับการรักษาตนเอง โดยอาศัยการจัดกระดูก ผู้ที่มีสุขภาพไม่ดี มีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย โดยปกติที่ไปรักษากับหมอนวดทั่ว ๆ ต้องใช้เวลานวด เป็นชั่วโมงอาการจึงจะดีขึ้น แต่การรักษาโดยอาศัยการจัดกระดูก ใช้เวลาไม่กี่นาที่ สามารถทำให้ร่างกายดีขึ้นทันตาเห็น อาตมาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก และได้รับการแนะนำจากท่านในการรักษาคน ได้ลองทำกับคนที่ปัญหาเรื่องสุขภาพ ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน เป็นวิธีที่เรียนได้เร็วและง่าย จึงเป็นวิชาที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
คนเรานั้นพระพุทธองค์ทรงตรัวไว้แล้วว่า การมีสังขารร่างกายนั้นเป็นทุกข์ เมื่อมีอายุมากขึ้นจึงรู้ว่า เป็นดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้จริง ๆ เกิด แก่ เจ็บ และตาย เป็นความทุกข์ จิตใจเป็นตัวรู้ในทุกข์เหล่านี้ จึงควรที่พวกเราเป็นผู้ไม่ประมาท ควรสร้างและทำความดี เพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ นั่นคือพระนิพพาน อันเป็นบรมสุขอย่างยิ่ง....”
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๘ ต.ค. ๕๒
โยมต๊อกและเพื่อนได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัด อาตมาได้สอนแนวปฏิบัติในแนวทางมหาสิตปัฏฐานสูตร กำหนดลมหายใจเข้าออก กำหนดอารมณ์สบาย เมื่อใจสบายแล้วให้ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจากใจของตนเอง โยมได้เล่าให้ฟังว่าในตอนแรกที่ฟังยังนึกค้านในใจว่าจะปล่อยวางได้อย่างไร ยังมีเรื่องที่ต้องทำอยู่หลายอย่าง ในชีวิตของผู้ครองเรือน แต่เมื่อปฏิบัติไปเรื่อย ๆ หัดปล่อยวางเมื่อจิตสงบ ทำให้อารมณ์เบาสบายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งที่ตนเองเป็นคนอารมณ์ร้อน ไม่คิดว่าอารมณ์จะสงบร่มเย็นถึงเพียงนี้
การปฏิบัติธรรมนั้นดังที่ครูบาอาจารย์ท่านได้บอกไว้แล้วว่า ถ้าปฏิบัติถูกต้อง ทำเพียงวันเดียวก็สามารถจะสำเร็จประโยชน์ได้เช่นกัน ดังนั้นจึงอย่าประมาทต่อความเพียร แต่ตรงกันข้าม ถีงจะอยู่ในวัดเป็นเวลานาน ๆ แต่ไม่ตั้งใจปฏิบัติ ความสำเร็จก็จะไม่สามารถจะบังเกิดแก่เขาเหล่านั้นได้เลย
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๔ ต.ค. ๕๒
ได้มีโอกาสได้สนทนาการปฏิบัติธรรมกับพระทาคาสิ มหาปุญฺโญ ทางบอกว่า แนวทางที่อาตมาแนะนำค่อนข้างจะเข้าใจยาก เพราะถ้าสำนักปฏิบัติธรรมที่สอนในแนวไหนก็จะเน้นในแนวนั้น แต่ที่อาตมาแนะนำนั้นจะปฏิบัติแนวทางไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่สุดท้ายให้เน้นเรื่องการปล่อยวางอารมณ์เป็นสำตัญ ปล่อยได้ วางได้ จิตใจเราก็จะเย็นสบาย เรื่องเหล่านี้จะเข้าใจได้ ก็ด้วยอาศัยการลงมือปฏิบัติแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น จะเข้าใจโดยการคาดคะเนเอานั้นย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๕ ต.ค. ๕๒
เมื่อวานนี้มีพระอาจารย์บรรลา อตฺตสนฺโต ท่านได้อุปสมบทที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะแห่งนี้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ได้พาญาติโยมมาเยี่ยมที่วัด ท่านได้เล่าประสบการณ์ในเรื่องของพลังจิตให้ญาติโยมฟัง ในสมัยที่ท่านบวชเป็นพระได้ ๓ พรรษา ท่านและพระสมเจตได้พูดคุยกันเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าและพระสาวก พระสมเจตได้พูดว่า พระพุทธเจ้าพระองค์ไม่ทรงมีฤทธิ์ดั่งที่เขาเขียนไว้ในตำราให้เราได้ศึกษา เป็นแต่เพียงเขาเขียนแต่งกันขึ้นมา พระสาวกก็เช่นเดียวกัน แต่พระบรรลานั้นมีความเชื่อในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ท่านทั้งสองพูดคุยกันอยู่เป็นเวลานาน ก็ยังมีความเห็นที่ไม่เหมือนกัน พูดคุยกันอยู่เป็นเวลานาน พระบรรลามีความไม่พอใจขึ้นมาในจิต และคิดว่าถ้าตนเองมีฤทธิ์จะแสดงให้ดู เมื่อถึงเวลาดึกจึงได้แยกยายกันจำวัดหลับนอน
ในยามดึกนั้นเอง พระบรรลาได้จำวัดอยู่กับพระสมเจต ในศาลาที่ใช้ปฏิบัติธรรมอยู่ในปัจจุบัน จิตของท่านนั้นลิ่งดิ่งลงลึก มีความรุ้สึกว่าจิตได้พุ่งออกจากตนเอง เป็นเหมือนจรวดไปปะทะวัตถุสีขาวตรงด้านหน้า แล้วก็ใช้จิตนั่นแหละทิ่มแทงวัตถุสีขาวนั้นอยู่เป็นเวลานานพอสมควร ปรากฏว่าในขณะนั้นนั่นเองพระสมเจตที่นอนอยู่ด้านข้าง มีความรู้สึกเหมือนมีใครมาบีบที่หัวใจ จิตของตนกระเด็นหลุดออกจากร่างกาย มีความรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก มีความทุกทรมานเป็นอย่างมาก เกือบสิ้นลมหายใจ พยายามร้องออกมาแต่ก็ร้องไม่ออก พระบรรลาเมื่อคลายจากสมาธิรู้สึกตัวตื่นขึ้น พระสมเจตร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด กล่าวหาพระบรรลาต่าง ๆนา ๆ เพราะตนเองเกือบขาดใจตาย ณ ที่ตรงนั้น
จะเห็นได้ว่าสภาวะจิตเป็นสิ่งที่ลี้ลับ มีอำนาจมาก สามารถกระทำได้ทั้งในสิ่งที่ดีและชั่ว ผู้ปรารถนาความดีสมควรที่จะกระความดีไว้มาก ๆ เพื่อน้อมนำเอาความดี ที่ตนเองสร้าง ให้ได้มรรคผลนิพพาน ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ เพื่อผลคือความสุขที่แท้จริงในใจของเราเอง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๖ ต.ค. ๕๒
โยมอาจารย์ นลินี ซื่งรู้จักกับอาตมาประมาณเกือบ ๓๐ ปี ได้พาลูกศิษย์ไปเยี่ยมที่วัดเมื่อวันที่ ๒๙ ต.ค. ๕๒ ที่ผ่านมา โยมเป็นผู้ที่ชอบปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง และเมื่อปลายปีที่แล้ว ได้มีโอกาสพบกับโยมที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย ได้พูดคุยในเรื่องของธรรมะต่าง ๆ นานา คำพูดหนึ่งที่อาตมาได้พูดไว้ในครั้งนั้น โยมอาจารย์ได้พูดทวนคำพูดที่อาตมาได้พูดไว้ว่า การปฏิบัติธรรมนั้น ให้ปฏิบัติโดยการจับอารมณ์สบาย ถ้าใจเราสบายแสดงว่าเราวางอารมณ์ได้ถูก ถ้าใจไม่สบายแสดงว่ายังวางอารมณ์ไม่ถูก ให้เราดูจิตของเราไปเรื่อยๆ ปล่อยวางไปเรื่อย ๆ จนถึงความสบายแห่งจิต แต่ก็อย่าหลงติดความสบายนั้น ความสบายที่แท้จริงนั้น ต้องเป็นความสบายอันเกิดจากการปล่อยวาง ไม่ติดสุขแต่ก็ได้รับความสุข เพราะธรรมชาติแห่งการปล่อยวางเป็นเช่นนั้น โยมอาจารย์ได้นำไปปฏิบัติ จนได้รับผลคือความสุขความสงบในตนเอง จึงได้ปฏิบัติเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
จะเห็นว่าอารมณ์สบายนั้น เป็นจุดประสงค์ในการปฏิบัติธรรม ในเบื้องต้น ท่ามกลาง และในที่สุด อันเป็นสุดยอดแห่งความปรารถนาของมนุษยโลกทุก ๆคน
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๓๑ ต.ค. ๕๒
ในช่วงนี้เป็นเวลาเตรียมตัวที่จะเดินทางไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย ซึ่งอาตมาเป็นผู้นำ มีพระภิกษุ ๓๐ รูป อุบาสก ๖ คน อุบาสิกา ๑๐ คน รวมแล้วจำนวน ๕๖ รูป/คน ได้มีการจัดเตรียมทำเอกสารต่าง ๆ ต้องนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน รู้สึกปวดต้นคอตลอดเวลา แม้จะออกำลังกาย ใช้ท่าบริหารต่าง ๆ ก็ทุเลาได้ระยะหนึ่ง ยังไม่ทันข้ามวันก็กลับปวดขึ้นมาอีก เมื่อวันที่ ๒๙ ต.ค. ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปแนะนำการปฏิบัติธรรมแก่กลุ่มผู้ติดเชื้อ เอช ไอ วี ที่โรงพยาบาลจอมทอง โยมรัชนี ได้ติดตามจากที่วัดไปโรงพยาบาลเพื่อช่วยแนะนำท่าออกกำลังกาย และการจัดกระดูกเพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกาย ในจำนวนท่าออกกำลังกายทั้งหมด มีอยู่ท่านหนึ่งได้แก่ ท่าแหงนหน้าดูเพดาน พร้อมกับใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้าง ดันใต้คางขึ้นไปด้านหลังให้มากที่สุด มีอาการเจ็บเล็กน้อยขณะที่ดันคางไปด้านหลัง ปรากฏว่าอาการปวดต้นคอที่เป็นอยู่ตลอดเวลาได้หายไป รู้สึกว่าร่างกายเบาสบายตัวขึ้นเป็นอย่างมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าท่าง่าย ๆเช่นนี้ จะทำให้อาการปวดหายไปได้
จะเห็นได้ว่า การทำอะไรก็ตามที ถ้าทำไม่ถูกจังหวะ ถูกเวลา ความสำเร็จย่อมบังเกิดได้ไม่สมบูรณ์ หรือยังไม่ถึงเวลาก็ไม่สามารถทำงานนั้น ๆให้สำเร็จได้ การปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน แนวทางการปฏิบัติถ้าทำไม่ถูก ความสำเร็จจะไม่สามารถบังเกิดขึ้นได้เลย แต่ถ้าทำถูกต้องหรือเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ความสำเร็จย่อมบังเกิดขึ้นได้โดยไม่ยากนัก แต่สำคัญตรงที่ว่า ต้องมีความเพียรในการทำความดีอย่างไม่ลดละ เพื่อผลคือความสุขที่แท้จริงในใจของเรา
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑ พ.ย. ๕๒
ในระยะนี้ได้มีการจัดเตรียมเอกสารสำหรับการเดินทางไปอินเดีย ต้องมีการติดต่อประสานงานกับทางบริษัทที่บริการเรื่องตั๋วเครื่องบิน เอกสารต่าง ๆของผู้เดินทางและเรื่องอื่น ๆอีกมากมาย การปฏิบัติธรรมที่ประกอบด้วยงานภายนอก คงจะไม่เหมือนกับการปฏิบัติธรรมที่ไม่มีงานภายนอกมาเกี่ยวข้อง เพราะอารมณ์ความเย็นสบายจะไม่เหมือนกัน คราวใดที่จิตของเราไปเกี่ยวข้องกับสิ่งสมมุติโลก ความเบาสบายใจย่อมบังเกิดขึ้นได้ยาก เหมือนท้องฟ้าที่มีเมฆหมอกมาบดบัง ท้องฟ้าย่อมไม่ใสสว่าง เช่นเดียวกับจิตของคนที่มีความเกี่ยวข้องมาผูกพัน ย่อมทำให้จิตมีกำลังที่ลดน้อยถอยลง ปัญญาย่อมเกิดบังเกิดขึ้นได้ยาก ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงให้ปล่อยวางภารกิจภายนอกทั้งหลายออกไป เพื่อกระทำจิตของตนให้ใสสะอาด จากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย ทำให้จิดมีกำลังที่จะละ ปล่อย วาง กิเลสตัณหาอุปาทานในจิตใจ เพื่อที่จะได้รับความสุขความสบายอันเกิดจากการปล่อยวางนั้น
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๓ พ.ย. ๕๒
ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในการงานแต่ละอย่างได้นั้น ต้องเป้นผู้มีความเพียรอย่างไม่ลดละ ปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายย่อมมีเป็นของธรรมดา อุปสรรคทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมเป็นเครื่องบ่งบอกถึงความอดทน กล้าหาญของผู้นั้น ว่าจะผ่านพ้นไปได้สักเพียงไร การทำอะไรแต่ละอย่าง ต้องหมั่นเฝ้าคิด เฝ้าดู และกระทำด้วยการปล่อยวาง กระทำให้ปราศจากตัวตน ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางโลกและทางธรรม งานทั้งหลายเหล่านั้นย่อมสำเร็จไปได้ด้วยดี งานจึงเป็นงานที่ดีและดีเลิศ เพราะธรรามชาติแห่งการปล่อยวางนั้น เป็นธรรมชาติที่ซึมซับ ความรู้แห่งความสำเร็จแก่ผู้ที่เข้าถึงในธรรมชาตินั้น ๆได้อย่างแน่นอน
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๖ พ.ย. ๕๒
โยมคนหนึ่งได้พบอาตมาที่พุทธคยาประเทศอินเดีย ได้เล่าให้ฟังว่าตนเองทำงานและมีครอบครัวอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ เป็นเวลา ๒๐ กว่าปี ตอนเป็นวัยรุ่นมีความรู้สึกว่าศาสนาเป็นเรื่องของคนแก่ จึงไม่มีความสนใจในเรื่องนี้ ได้ใช้ชีวิตตามที่ตนเองเห็นว่าดีมีประโยชน์ นึกจะทำอะไรก็ทำตามความคิดของตน เมื่อเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งจึงได้นำไปลงทุนเล่นหุ้น จนสุดท้ายเงินที่สะสมไว้แทบไม่มีเหลือ เพราะอ่อนต่อประสบการณ์ในการลงทุน
เมื่อเป็นเช่นนี้ โยมคนนี้จึงได้หวนคิดเรื่องราวต่าง ๆที่ผ่านมา คิดทบทวนว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร แก่นสารที่แท้จริงของชีวิตคืออะไร เมื่อคิดทบทวนไปมาก็ยังหาคำตอบให้กับตนเองไม่ได้ สุดท้ายเมื่อขาดที่พึ่งจึงได้หันเข้ามาศึกษาเรื่องของพระพุทธศาสนา ได้เข้าปฏิบัติธรรมที่สำนักแห่งหนึ่ง ต่อมาจึงได้ศึกษาธรรมเรื่อยมา ปัจจุบันตนเองเห็นว่าพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุดในชีวิต การทำอะไรโดยที่ไม่ทำตามพระธรรม ย่อมทำให้ผิดพลาดได้ง่าย เพราะเราไม่ใช้สัพพัญญูเหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงวางรากฐานที่ดีไว้ครบถ้วนแล้ว เพียงแต่เราจะกระทำตามที่พระองค์ทรงสั่งสอนหรือไม่เท่านั้นเอง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๓๐ พ.ย. ๕๒
เมื่อวันที่ ๗-๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ได้พาคณะพระภิกษุและญาติโยม ประกอบด้วย พระสงฆ์ ๓๐ รูป แม่ชี ๑ ท่าน อุบาสก ๗ คน อุบาสิกา ๑๘ คน รวม ๕๖ รูป/คน ทุกคนต่างก็มีความสุขในการที่ได้ไปนมัสการสังเวชนียสถาน อันได้แก่สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน ความต้องการสูงสุดของมนุษย์คือความสุข พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้ปฏิบัติเพื่อพบความสุขที่แท้จริงคือพระนิพพาน แต่การที่จะเข้าถึงได้นั้นต้องอาศัยความวิริยะอุตสาหะเป็นอย่างยิ่ง จะย่อหย่อนต่อการประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้ได้ความสุขที่แท้จริงนั้นไม่มีเลย แต่ถ้าปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและไม่ลดละในการพิจารณากายและจิต ย่อมได้รับความสุขอันเกิดจากการหาที่พึ่งในตัวของเราเอง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑ ธ.ค. ๕๒
วันหนึ่งได้แสดงธรรมที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ หลังจากทำวัตรเย็นแล้ว อุบาสิกาชาวทิเบต ๓ แม่ลูก ได้นั่งฟังธรรมอยู่ในบริเวณนั้นด้วย หลังจากเสร็จจากการแสดงธรรม หญิงชราผู้เป็นแม่ได้เข้ามาหาอาตมา กล่าวขอบคุณที่ได้แสดงธรรมให้ฟัง รู้สึกว่าโยมคนนี้มีความปิติและดีใจเป็นอย่างยิ่ง อาตมาได้เห็นโยมทั้ง ๓ คน ไปปฏิบัติที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์อยู่เสมอ ๆ เขามีความตั้งใจในการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าอาตมาเทศนาธรรมเป็นภาษาไทย แล้วโยมพวกนี้เข้าใจภาษาไทยได้อย่างไร ได้หวนคิดอยู่นานจึงทราบว่าเขาเหล่านี้คงใช้จิตฟังมากกว่าใช้คำพูด จิตที่กล่าวออกมาด้วยความสงบ ย่อมสามารถสื่อถึงกันได้ เพราะจิตของมนุษย์ทั้งหลายนั้นเป็นเช่นเดียวกัน ถ้าจิตเข้าถึงจิตได้นั้น ย่อมได้สัมผัสสิ่งที่เหนือสมมุติบัญญัติทั้งหลาย ย่อมได้ที่พึ่งที่แท้จริงซึ่งเป็นที่พึ่งที่หาได้ยากยิ่งนัก
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒ ธ.ค. ๕๒
เมื่อวันที่ ๒๓ ธ.ค. ๕๒ ได้ไปกราบพระอาจารย์ประสิทธิ์ที่วัดป่าหมู่ใหม่ อ.แม่แตง
จ.เชียงใหม่ พระอาจารย์สุขภาพไม่ค่อยดีเป็นโรคเก่า ปวดเมื่อยตามร่างกาย ได้กราบและสอบถามปัญหาซึ่งคาใจมานานเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมว่า การปฏิบัติธรรมที่จะเข้าสู่มรรคผลนั้น การเข้ากระแสนั้นต้องเข้าเป็นขั้นเช่น พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์นั้น ต้องเข้าไปสู่วิปัสสนาญาณแต่ละขั้นหรือเข้าเพียงครั้งเดียว พระอาจารย์เมตตาตอบอย่างไม่ลังเลสงสัยเลยว่า การเข้ากระแสนั้นเข้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ต่อไปจิตก็จะเข้ากระแสเป็นลำดับ ๆ ไป และวิปัสสนาญาณที่แท้จริงนั้นก็เกิดเพียงครั้งเดียว ในปัจจุบันไม่ก่อนและไม่หลังอยู่ที่ปัจจุบันจิตนี้เท่านั้น
ได้สอบถามอีกว่า คุณไสยนั้นมีจริงไหม ถ้ามีควรแก้ไขอย่างไรเมื่อถูกสิ่งเหล่านั้น ท่านตอบว่ามีจริง การแก้ไขนั้นต้องใช้การปฏิบัติธรรม สามารถแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้ และอย่าไปรับอะไรมาเพิ่ม เช่นตำกรุดป้องกันคุณไสยฯ เพราะถ้าไปรับมาแล้วจะทำให้จิตใจของเราต้องหาที่พึ่งภายนอก จะไม่เป็นพุทธแท้ ทำให้การรักษาอาจไม่หายขาด เป็น ๆ หาย ๆ เพราะจิตใจของเราลังเลสงสัยในพระรัตนไตรนั่นเอง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๕ ธ.ค. ๕๒
โยมหวังโมเป็น หญิงสาวชาวทิเบตได้สามีเป็นชาวอเมริกา มีลูก ๒ คน โยมคนนี้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง โยมพร้อมสามีได้เป็นเจ้าภาพสวดสาธยายพระไตรปิฏกนานาชาติในเดือนธันวาคม เป็นจำนวน ๔ ครั้ง และในวันที่ ๒-๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๒นี้ จะรับเป็นเจ้าภาพอีกเป็นครั้งที่ ๕ ได้มีโอกาสพบกับอาตมาที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ในคืนวันหนึ่ง ได้พูกคุยกันประมาณ ๒๐ นาที รู้สึกว่าโยมมีความสุขมากที่ได้ทำประโยชน์ที่ดีในครั้งนี้ น่าอนุโมทนากับความดีที่โยมได้สร้างเป็นอย่างยิ่ง เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๑ อาตมาได้มีโอกาสแสดงธรรมโดยมีผู้แปลเป็นภาษาอังกฤษ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์แห่งนี้ โยมหวังโมได้นั่งฟังอยู่ด้วย โยมบอกว่าจิตใจเกิดปิติในธรรมบรรยายเป็นอย่างยิ่ง จะเห็นได้ว่าพระสัทธรรมของพระพุทธองค์นั้น มีอำนาจยิ่งใหญ่ยิ่งนัก จะหาสิ่งอื่นเสมอเหมือนย่อมไม่มีอย่างแน่นอน ฉะนั้นพวกเราทั้งหลายจงน้อมนำเอา พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึกในใจของเราตลอดไปเทอด
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๙ ธ.ค. ๕๒
พระพระภิกษุผู้บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ถ้าทำตัวดีก็นับว่าเป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่ แต่ถ้าทำไม่ดีไม่มีศีลธรรมประจำใจ ก็ไม่ต่างอะไรกับลูกชาวบ้านเลว ๆของเรานี่เอง การทำบุญกับคนเลวที่นุ่งห่มผ้าเหลือง ให้คิดเสียว่าทำบุญกับพระพุทธศาสนาก็แล้วกัน การที่มีคนไม่ดีมาบวชเพื่อใช้เลี้ยงชีพของตนนั้น จึงเป็นสิ่งที่บงชัดว่าคำสั่งสอนพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ดี ผู้มีปัญญาพิจารณาย่อมศรัทธาเลื่อมใส เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสสั่งที่มีเหตุผลตามความเป็นจริง สามารถพิสูจน์ได้ทุกกาลเวลา การแอบแฝงเข้ามาหากินในรูปแบบต่างจึงมีกันมากมาย แม้ตั้งแต่ในสมัยพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบัน ฉะนั้นผู้มีปัญญาควรใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงทำในสิ่งที่ตนเองศรัทธาเลื่อมใส และอย่าหวั่นไหวในสิ่งที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑ ม.ค. ๕๓
เด็กหญิงแอปออายุประมาณ ๘ ปี พ่อแม่ซึ่งเป็นชนเผ่ากะเหรี่ยงได้เคยพามาปฏิบัติธรรมที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะ ได้มาทำบุญที่วัดเมื่อวันที่ ๓ ม.ค.๕๓ โยมสมศรีผู้เป็นแม่ได้เล่าให้ฟังว่าลูกสาวของตนมีความปรารถนาอยากปฏิบัติธรรมให้เป็นพระโสดาบัน ซึ่งเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา ชอบการสวดมนต์นั่งสมาธิเพราะเกิดความสุขความสงบในการทำความดี ดังนั้นการนำเยาชนให้รู้จักทำความดีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อเป็นการปลูกฝังศีลธรรมจริยธรรมตั้งแต่เยาว์วัย เพื่อจะได้เป็นคนดีในอนาคตสืบไป
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๓ ม.ค. ๕๓
โยมสมศรีแม่ของแอปอ โทรฯมาเล่าให้ฟังว่า เมื่อเช้ามืดของวันนี้ได้หลับฝันไปว่า มีพวกกะเหรี่ยงมาอยู่ที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะกันอย่างมากมาย ในความฝันมีความรู้สึกว่าชนเหล่านี้เป็นกะเหรี่ยงที่ตายไปแล้ว รอรับส่วนบุญที่มีผู้ไปทำบุญที่วัด โยมคนนี้บอกว่ามีความมั่นใจในความฝันนี้มาก และบอกว่าในอนาคตจะแนะนำพวกของตนไปทำบุญที่วัด เพื่ออุทิศส่วนบุญให้กับชนเหล่านี้ให้ได้ไปสู่สุคติภูมิที่ดียิ่ง ๆขึ้นไป
จะเห็นว่าภพภูมิที่ชนธรรมดาไม่สามารถจะเห็นได้ยังมีอยู่ แม้ในสมัยพุทธกาลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ทรงตรัสเรื่องนี้ไว้แล้วเหมือนกัน ดังนั้นการทำบุญเพื่ออุทิศไปยังญาติของเราที่ล่วงลับไปแล้ว จึงเป็นสิ่งที่ควรที่จะกระทำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อประโยชน์สุขของตนเองและญาติผู้ล่วงลับไปแล้วสืบไป
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๐ ม.ค. ๕๓
โยมผู้ดูแลอุปัฎฐากพระอาจารย์ประสิทธื ปูญญมากโร วัดป่าหมู่ใหม่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ได้โทรฯมาเล่าให้ฟังว่า ได้ฉันยาสมุนไพรที่อาตมาถวายไปทำให้สุขภาพของท่านดีขึ้นมาก จึงได้จัดส่งยาสมุนไพรไปถวายท่านอีก นับว่าเป็นความโชคดีที่ได้ถวายแด่พระมหาเถระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
พระอาจารย์ประสิทธิ์นี้มีโยมเล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณ ๘ ปีที่แล้วได้มีข่าวลงหนังสือพิมพ์ว่า พระอาจารย์ได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ตัวท่านถูกรถลากไปประมาณ ๓๐ กว่าเมตร เนื้อที่แขนหลุดออกมาและมีรอยบาดเจ็บตามร่างกาย ได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เมื่อคุณหมอได้ฉายเอ็กซเรย์ดูที่กระดูก ปรากฏว่ากระดูกของท่านมีความใสสว่างกลายเป็นพระธาตุไปจนหมด หมอฟันที่จังหวัดเชียงใหม่ได้เคยถอนฟันของท่านแล้วนำฟันที่ถอนออกนั้นไปเก็บไว้ ฟันนั้นก็กลายเป็นพระธาตุเช่นเดียวกัน พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าผู้ที่มีจิตบริสุทธิ์ ได้ปฏิบัติธรรมจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ จิตที่บริสุทธิ์สามารถที่จะฟอกกระดูกในร่างกายให้ใสเป็นพระธาตุได้ ขออนุโมทนา สาธุ ในคุณงามความดีของท่านเป็นอย่างยิ่ง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๑ ม.ค. ๕๓
ครามละเอียดและความเข้าใจในพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น จะลุ่มลึกไปตามภูมิธรรมแห่งจิตของผู้ประพฤติปฏิบัติ เมื่อก่อนมีความคิดว่า ความคิดทางโลกหรือทางธรรมที่ไม่ได้เกิดจากภาวนา สามารถทำให้เกิดปัญญาที่แท้จริงได้ เมื่อปฏิบัติและพิจารณาไปก็เห็นว่าความคิดนี้ไม่ถูกต้อง จึงได้ทิ้งตำราทั้งหมดในระหว่างการปฏิบัติธรรม ปัญญาต่างๆเริ่มที่จะแจ้งประจักษ์ในใจของเรา การที่จะแก้ใขปัญหาต่าง ๆสามารถแก้ไขได้โดยการภาวนา เมื่ออาตมามีปัญหาที่ต้องแก้ไขในเรื่องต่าง ๆ อันดับแรกจะใช้ความคิดในเรื่องนั้น ๆ เมื่อไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการพิจารณา จึงได้ปล่อยปัญหานั้นทั้งหมด แล้วปฏิบัติธรรมเฝ้าดูกายดูจิตตลอดเวลา(คือดูความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิต) รู้เห็นอะไรก็สักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าเห็น เมื่อถึงความสงบในระดับหนึ่ง สิ่งที่เราคิดไว้ตั้งแต่ต้นจะผุดขึ้นมาในจิตของตนเอง และสามารถจะแก้ปัญหาต่าง ๆได้ทั้งหมด ในขณะแห่งจิตที่สงบนั้นไม่ว่าจะเป็นทางโลกหนือทางธรรม ก็สามารถใช้วิธีนี้ได้ทั้งหมด
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๘ ม.ค. ๕๓
ในระยะนี้ไม่ได้เขียนธรรมะเป็นเวลาหลายเดือน ทั้งนี้เนื่องมาจากอาตมาได้ปฏิบัติ
ธรรมอย่างต่อเนื่อง ทำให้หยุดการงานทางโลกเกือบทั้งหมด การภาวนาอย่างต่อเนื่อง
เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตของเรา เพราะการภาวนาดูจิตดูใจของเรา ทำให้รู้เห็น
ธรรมตามความเป็นจริง สามารถสร้างความสุขได้ในใจของเรา การงาน
อย่างอื่นที่จะเสมอการงานในจิตในใจของเรานั้นไม่มีอีกแล้ว เพราะเราสามารถ
หาที่พึ่งที่แท้จริงในใจชองเราเอง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๓ มิ.ย. ๕๓
การภาวนาปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าดูโดยผิวเผินไม่เห็นจะยากอะไรเลย ไม่ต้องแบกไม่ต้องหามไม่ต้องทำงานอะไรมาก แต่ถ้ามองในด้านจิตใจแล้ว มันต้องฝืนต่อกิเลสหลายสิ่งหลายอย่าง บางครั้งสิ่งที่อยากได้ก็ไม่ได้ ที่ไม่อยากจะได้บางครั้งก็ได้ ต้องอดทนต่อโลกธรรมทั้งหลาย ต้องเฝ้าดูกายดูจิตอยู่ตลอดเวลา ถ้าสามารถทำได้นับว่าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด เพราะการชนะตนเองเป็นชัยชนะที่ดีที่สุด
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๗ มิ.ย. ๕๓
เมื่อวันที่ ๘ มิ.ย. ที่ผ่านมาอาตมาป่วยเป็นโรคคางทูม เร่ิมตั้งแต่มีอาการปวดบวมบริเวณเหงือก ในตอนกลางคืนในตอนเช้าต่ืนขึ้นมามีอาการบวมมากขึ้น อาตมาไม่ได้ฉันยาแผน
ปัจจุบันมาเป็นเวลาประมาณ ๑๕ ปีที่ผ่านมา เพราะมีผลแทรกซ้อนหลายอย่าง ดังนั้นจึงพยามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด แม้บางครั้งจะป่วยหนัก ก็ใช้ยาแผนโบราณและธรรมโอสถรักษา ในตอนเย็นของวันนั้นรู้สึกเป็นไข้มีอาการหนาวสั่น จึงได้รักษาโดยการฝังเข็มด้วยตนเอง ฝังอยู่ประมาณ ๕๐ นาทีจึงได้นำเข็มออก อาการต่างๆก็ดีขึ้นและหายเป็นปรกติ ในตอนเช้าของอีกวันหนึ่ง อาการปวดได้เกิดขึ้น จึงใช้การฝังเข็มในการรักษา ฝังเข็มอยู่ประมาณ ๒๐ นาที อาการต่าง ๆก็ดีขึ้นและหายเป็นปรกติ
ในวันต่อๆมามีอาการอวกอาเจียน ปวดบวมที่ปากมากขึึ้น จึงอาศัยยาแผนโบราณและ
การฝังเข็มในการรักษา อาการต่างๆก็ดีขึ้น และได้หายเป็นปรกติในเวลาต่อมา
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๓ มิ.ย. ๕๓
การปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะทำให้เรามีสติรู้จักตนเอง ความผิดพลาดจะมีน้อย แม้มีความผิดพลาดก็สามารถแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น สิ่งที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันคือเรื่องของความป่วยไข้ ก่อนที่จะป่วย ขณะป่วยและเวลาหายป่วย สามารถที่จะรู้ได้เป็นระยะๆ ทำให้มีสติปัญญาในการแก้ปัญหาได้ดียิ่งขึ้น บางครั้งเหมือนกับจะมีอาการป่วยที่มาก แต่ถ้ารุ้เท่าทันและแก้ไขในเบื้องต้น สามารถที่จะทำให้อาการต่างๆกลับกลายเป็นดีีได้ เรื่องของอารมณ์ เรื่องของโลกธรรม เรื่องทุกสิ่งทุกอย่างสามารถแก้ไขได้เช่นเดียวกัน
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๔ มิ.ย. ๕๓
คนเรานั้นเมื่อมองโลกในแง่ร้าย จิตใจของเราจะพบกับความทุกข์ เช่นเราเห็นว่าบุคคลคนนี้ทำไม่ดีกับเราหรือกับคนอื่น ซึ่งความจริงตามสมมุติก็เป็นเช่นนั้นจริง เมื่อเราได้พูดหรือพบกับบุคคลคนนั้น จิตที่ตั้งไว้ไม่ดีย่อมทำให้ใจเราเป็นทุกข์ แต่ถ้าเขาจะมีความเลวเช่นใดก็ชั่งเขา ขอให้เรามองโลกในแง่ที่ดี ชีวิตของเราก็จะมีความสุข แม้สุดท้ายบุคคลคนั้นไม่มีความดีเอาเสียเลย ถ้าใจของเรามองในแง่ดีว่า ยังดีนะที่เขาอุตส่าห์เกิดมาเป็นคน คงทำดีอะไรมาบ้างละ ความคิดเช่นนี้แหละจะทำให้จิตใจของเราพบแต่ความสงบสุข เพราะธรรมชาติของจิตใจที่คิดในทางที่ดีย่อมนำความสุขมาให้ การที่จะเข้าใจเช่นนี้ได้ ต้องอาศัยการเจริญภาวนาอยู่เสมอ พินิจพิจารณาถึงความทุกข์ที่เกิดขึ้นมาในใจของเรา
อยู่เสมอ หาสาเหตุของความทุกข์ว่ามันเกิดจากอะไร จีึงจะแจ่มแจ้งและเข้าใจในจิตของเราเอง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๓ ก.ค. ๕๓
เมื่อมีปัญหาปัญญาจึงจะเกิด ปัญหาและอุปสรรคจึงเป็นความเจริญงอกงามของปัญญา บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่กลัวปัญหาที่จะเกิดขึ้น ทั้งร้ายและดี ย่อมใช้สติพิจารณาปัญหาต่าง ๆ แล้วค่อยแก้ไขให้ลุล่วงไปด้วยดี การเจริญสติอยู่เสมอเป็นการเตรียมพร้อมที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีและแก้ไขได้ทันทีเมื่อปัญหานั้น ๆเกิดขึ้นมา ดังนั้นการมีสติคือความระลึกได้และสัมปชัญญะคือการรู้ตัวทั่วพร้อม จึงเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของเรา เพราะจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงให้กับตัวเราตลอดไป
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๔ ก.ค. ๕๓
คนบางคนพร้อมที่จะแก้ไขตนเองให้เป็นคนดี แต่ด้วยปัญญาที่หยั่งลงไม่ถึง จึงไม่สามารถแก้ไขส่ิง
ที่ไม่ดีได้ มีโยมคนหนึ่งไม่รู้จักคำว่าขันติและโสรัจจะ คือธรรมที่ทำให้เป็นคนงาม รู้แต่เพียงว่านึก
ที่จะพูดอะไรออกมาที่เป็นความจริงตามที่ตนคิดว่าถูกต้อง โดยที่ไม่ดูกาลดูเวลาว่าสมควรหรือไม่
เรื่องต่างๆทั้งดีและร้าย จึงได้ประสบกับโยมคนนี้เสมอ เข้าไปที่ไหนทำให้สังคมนั้น ๆเกิดความ
ปั่นป่วนไม่สงบ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่มีปัญหาเกิดขึ้นมา จนกระทั่งวันได้มีโอกาสอ่านหนังสือกาตูน
ธรรมะที่อธิบายคำว่าขันติคือความอดทน โสรัจจะคือความสงบเสงี่ยม และได้อธิบายเหตุผลต่าง ๆว่าทำไมจึงต้องมีธรรมข้อนี้ไว้ประจำใจทำให้เริ่มเข้าใจคำทั้งสองนี้ ปัจจุบันโยมคนนี้มีตำแหน่ง
ใหญ่โตได้เข้าสังคมกับคนเป็นจำนวนมาก ทั้งที่เป็นผุ้ใหญ่และผุู้น้อย ได้นำข้อธรรมะทั้งสอง
อย่างนี้ไปใช้กับชีวิตประจำวัน แม้ปัญหาจะเกิดขึ้นก็แก้ไปได้ด้วยดี ทำให้เป็นที่รักของชนทั้งหลาย
นี่แหละธรรมของพระพุทธองค์สามารถแก้ไขให้คนเป็นคนดีได้ ถ้าเขาเหล่านั้นพร้อมที่จะหันมา
มองตนเองและแก้ไขสิ่งบกพร่องที่ขึ้นกับตนเอง เมื่อเรามีความอดทนอดกลั้นจะมีความลำบาก
ในเบึ้องตน แต่จะมีความสบายในภายหลัง ที่เขาเรียกว่าอดเปรี้ยวเอาไว้กินหวาน เพื่อชีวิตที่ดี
และมีความสุขในโลกใบนี้ที่เราอาศัยอยู่
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๖ ก.ค. ๕๓
โยมคนหนึ่งได้สอบถามมาว่า สังคมที่ตนเองอยู่มีแต่ความหลอกลวงไม่จริงใจซึ่งกันและกัน สมควรที่จะทำตนเองอย่างไรดี เพราะในปัจจุบันเมื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับพวกนี้แล้ว ทำให้ไม่สบาย
ใจเลย ได้ตอบให้ทราบว่า ที่จริงแล้วความทุกข์ทั้งหลายไม่ได้เกิดจากคนอื่น แต่เกิดจากตัวของเรา
เอง การหัดมองโลกในแง่ที่ดีชีวิตของเราก็จะเป็นสุข แต่สุขเหนือสุขก็คือความสุขอันเกิดจากการ
ปล่อยวาง ดั่งที่ครูบาอาจารย์ท่านได้กล่าวไว้แล้วว่า การปฏิบัติธรรมนั้นในอันดับแรก ให้ทำความ
ดีละความชั่ว จนสุดท้ายให้ละทั้งดีและชั่ว ธรรมอันเป็นของลึกซึ้งที่อยู่ภายใน จะเข้าใจและสัมผัส
ได้ก็ต้องอาศัยการเจริญภาวนา เข้าไปรู้เหตุผลในใจของเราเอง ไม่สามารถที่จะรู้ได้เพียงแค่ความ
นึกคิดหรือการคาดเดาต่าง ๆ นา ๆ การท่องเที่ยวที่สนุกที่สุดได้แก่การท่องเที่ยวไปในกายนคร
ของเรานี้แหละ
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๗ ก.ค. ๕๓
งานบางอย่างถ้าเราตั้งใจทำให้ดีที่สุด โดยไม่คิดว่าจะให้ใครเขามาชื่นชมเรา บางครั้งงานอันนั้น
เป็นงานที่ดีและวิเศษเป็นที่ชื่นชอบของชนทั้งหลาย แต่ถ้างานใดที่ทำลงไปแล้วคิดว่าอยาก
จะให้ชนทั้งหลายชื่นชอบยกย่อง งานนั้นจะสำเร็จได้โดยยาก เพราะจิตที่มีความอยากเด่นอยากดัง
ทำไปด้วยจิตใจที่มีความโลภโกรธหลง ทำให้บั่นทอนความดีของตน ดังนั้นจะทำอะไรจงมุ่งหวัง
ผลที่ดีเป็นสำคัญ มากกว่าเกียรติยศชื่อเสียง สิ่งเหล่านี้จะตามมาเอง เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ไม่อยากได้มันก็ได้ ไม่อยากดังมันก็ดัง ไม่อยากให้คนชื่นชอบเขาก็ชื่นชอบ ธรรมชาติมันเป็น
เช่นนี้เสมอ
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๘ ก.ค. ๕๓
จิตใต้สำนึกที่อาตมามีมาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆและตอนโต เมื่อกาลเวลาผ่านไปสิ่งเหล่านี้กลับกลาย
เป็นความจริงขึ้นมา ดั่งเช่นเมื่ออาตมาอายุประมาณ ๕ ปี จิตใจในตอนนั้นอยากจะไปอยู่ที่เมือง
เหนือ มันเป็นความรู้สึกภายในทมีมาตลอด ต่อมาก็ได้ไปอยู่เมืองเหนือตามที่
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริง ๆ
เมื่ออายุประมาณ ๑๖ ปี เห็นโยมข้างบ้านทำยาสมุนไพรช่วยคนที่เป็นโรคร้าย เช่นโรค
มะเร็ง เบาหวาน มีอาการที่ดีขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ในจิตจึงคิดว่ายาสมุนไพรไทยนี่ดีนะ เมื่อโตขึ้น
อยากจะทำยาช่วยคน มาถึง ณ บัดนี้อาตมาได้ทำยาช่วยคนได้หลายขนาน ขอยกตัวอย่างให้พอ
สังเขป
ยาปรับธาตุ เป็นยาสูตรของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ท่านนิมิตฝันไปว่ามีเทวดามาบอกสูตร
ยาท่านให้ทำช่วยคน ท่านได้ให้คนทำและช่วยคน ปรากฏว่าช่วยรักษาโรคต่าง ๆได้ดีมาก ท่านจะเรียกยานี้ว่า “ยาส้มกรรมฐาน” ซึ่งยานี้อาตมาทำมาประมาณได้ ๒๐ ปี สามารถช่วยคน
ได้มาก โรคร้ายหลายชนิด สามารถช่วยให้ทุเลาเบาบางได้เป็นอย่างดี ได้มีโอกาสเผยแพร่ให้ทาง
หน่วยงานของรัฐ เช่นผู้อำนวยการโรงพยาบาล จังหวัดเชียงใหม่ (ขอสงวนนาม) ส่งคนไปฝึกทำเพื่อที่จะช่วยเหลือประชาชนทั้งหลาย ด้วยเหตุบังเอิญที่ยานี้ไปเหมือนกับยาที่
ต่างประเทศนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเรา ราคาแพงพอสมควร การนำไปใช้เหมือนกัน
เป็นอย่างมาก ส่วนคุณภาพยาของเราอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำไป และมีสมุนไพรอีกหลายชนิด
ที่ช่วยคนได้ผลดีเช่นเดียวกัน ปัจจุบันกำลังจะทำโรงงานยาสมุนไพรให้ถูกต้องตาม
กฏหมาย เพื่อที่จะได้ช่วยชนทั้งหลายได้มากยิ่งขึ้น
อาตมามีความปรารถนาอยากจะถวายความรู้ให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายให้ด้านธรรมะเท่า
ที่จะทำได้ ในระยะหลายปีมานี้ได้มีโอกาสนำครูบาอาจารย์และญาตโยมไปประเทศอินเดียและ
เนปาลเพื่อนมัสการสังเวชนียสถาน และได้มีโอกาสถวายความรู้ตามที่ตนเองปรารถนา
จิตใต้สำนึกนี่แหละอาจจะเป็นสิ่งที่เราปรารถนามาแล้วข้ามภพข้ามชาติ ทำให้ความรู้
สึกเหล่านี้เกิดขึ้นมาในจิตอยู่เสมอ
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๙ ก.ค. ๕๓
อุปสรรคต่าง ๆที่เราทั้่งหลายได้ประสบมา ถ้าเราขาดสติหรือกำลังใจไม่เข้มแข็งพอ อาจทำให้เรามีความทุกข์ความเจ็บช้ำ กินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ถ้าเรามีการเจริญสติเฝ้าดูเฝ้ารู้จิตใจ
ของเราอยู่เสมอ ความทุกข์จะค่อย ๆคลายออกไป จนกลายเป็นผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็ง พร้อมที่จะต่อสู้
กับอุปสรรคทั้งหลายอย่างไม่ย่อท้อ เหมือนกับลูกโป่งหรือลูกฟุตบอล ถ้าเรากดลงไปในน้ำด้วย
ความแรงมากเพียงไร เมื่อเราปล่อยออกจากมือส่ิงเหล่านี้จะมีกำลังฟุ่งขึ้นมาเหนือน้ำ ได้มากน้อย
ตามกำลังของมือที่กดลงไป มือที่เรากดลงใต้น้ำเปรียบเหมือนความทุกข์ที่เราประสบในขณะนั้น
ลูกโป่งที่ลอยขึ้นเหนือน้ำ เปรียบเหมือนดวงปัญญาที่เราสามารถปลดปล่อยความทุกข์นั้นได้ ดังนั้นเมื่อเราได้พบกับความทุกข์จงมีสติอยู่กับส่ิงเหล่านนั้น คอยวันเวลาที่จะปลดเปลื้อง
ความทุกข์นั้นออกไปจากใจของเรา แล้วดวงปัญญาก็จะผุดลอยขึ้นมาแทนที่ในใจของเรา สุดท้ายเราจะเป็นผู้เข้มแข็ง พร้อมที่จะรับกับความทุกข์ทั้งหลายด้วยความเบิกบานใจ
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๐ ก.ค. ๕๓
ความทุกข์ก็ดี ความสุขก็ดี ที่แท้แล้วมันเป็นแต่เพียงสิ่งสมมุติ และมันมีค่าเสมอกัน ใจ
ของเราต่างหากที่ไปสมมุติค่าของมัน ถ้าเราปลดเปลื้องสมมุติเหล่านี้ได้มากเพียงไร ความเป็น
อิสระความสุขสบายจะเกิดขึ้นมาในใจของเรามากเพียงนั้น นี่เป็นความจริงที่พระพุทธองค์ทรง
ค้นพบมานานแล้ว และพระองค์ทรงสอนให้เราเข้าถึงความบริสุทธิ์นี้ แต่ด้วยสติปัญญาที่ไม่รู้ทัน
ของพวกเรา ทำให้เราหลงวนเวียนในวัฏฏะสงสารเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด มาหลายภพหลายชาติ
ศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้นที่จะทำให้เราเข้าถึงความบริสุทธิ์อันนี้ได้
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๑ ก.ค. ๕๓
พระคุณเจ้ารูปหนึ่ง ท่านอยู่กับอาตมาได้ประมาณ ๒ ปี ท่านเล่าให้ฟังว่าสมัยตอนเป็น
ฆราวาสท่านเป็นคนเกเรเป็นอย่างมาก ใช้เงินของพ่อแม่ไปเป็นจำนวนมาก ทั้งสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย
เช่น สุรา นารี นักเลงหัวไม้ ฯ บรรดาความชั่วร้ายทั้งหลายมีเพรียบพร้อมไปหมด หลังจากที่ได้
อยู่กันมา ท่านได้ปรับตนเองให้ดีขึ้นตามลำดับ แม้พระที่อยู่ที่วัดก็ชมว่าท่านมีความประพฤติดีขึ้น
กว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมาก นี่แหละธรรมของพระพุทธองค์สามารถแก้ไขสิ่งชั่วร้ายในใจให้กลับ
กลายเป็นดีได้
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๒ ก.ค. ๕๓
โยมจ้อย(นามสมมุติ) นี่ก็เป็นคนอีกคนหนึ่งที่มีนิสัยเกเรเป็นอย่างมาก จนญาติพี่น้องมี
ความเบื่อหน่ายบุคคลนี้เป็นอย่างมาก จึงได้นำไปฝากไว้ที่วัดเพื่อที่จะให้ทางวัดอบรมบ่มนิสัยให้
เป็นคนดี โยมจ้อยคนนี้ทำดีอยู่ไม่กี่วัน นิสัยและสันดานเดิมก็เริ่มออกมาให้เห็น พยายามหลีกเลี่ยง
ไม่ทำตามข้อวัตรปฏิบัติของทางวัด แอบออกไปนอกวัดไปกินเหล้าเมายา หาเรื่องกับชาวบ้าน
หลายครั้ง จนสุดท้ายต้องให้ออกไปจากวัด เพราะเห็นว่าเขาไม่ตั้งใจที่จะแก้ไขตนเอง และทำความ
ลำบากเดือดร้อนให้กับส่วนรวม อยู้ไปก็จะมีแต่ความเสียหายให้กับทางวัด จะเห็นได้ว่าถ้าเราไม่
พยายามที่ช่วยตนเองแล้ว คงไม่มีใครที่จะช่วยตัวเราได้
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๓ ก.ค. ๕๓
วันนี้ได้มีโอกาสไปแสดงธรรมที่โรงพยาบาลสารภี ทางผู้อำนวยการได้มีการจัดปฏิบัติ
ธรรมที่โรงพยาบาลเป็นเวลา ๓วัน เพื่อเตรียมตัวในการทำความดีในโอกาสวันเข้าพรรษา มีผู้
ร่วมฟังธรรมประมาณ ๖๐ คน ผู้ฟังส่วนใหญ่มีความสนใจในการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างดี
เมื่อจบธรรมบรรยายได้มีการสอบถามปัญหาธรรมต่าง ๆ และได้แนะนำการนั่งสมาธิภาวนา
ในตอนบ่ายอีกประมาณ ๑ ชั่วโมง การทำความดีเช่นนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากในปัจจุบัน เพราะคนเราส่วนมากมักหลงมัวเมาในสิ่งที่ไร้สาระ โดยที่ตนเองคิดว่าเป็นส่ิ่งที่มีสาระ น่าอนุโมทนากับคณะผู้จัดกิจกรรมในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑๗ ก.ค. ๕๓
พระทาคาสิ เป็นพระภิกษุชาวญี่ปุ่น อยู่ที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะมาประมาณ ๑๐ ปี ท่านชอบการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างมาก และมีความเชื่อมั่นในตนเองมาก มีความมุ่งมั่นจริงจัง
ซึ่งเป็นนิสัยปรกติของชาวญี่ปุ่น ท่านชอบเอานำนมกล่องมาทำนมเปรี้ยวไว้ฉันเป็นยา เมื่อฉันเข้า
ไปแล้วมีอาการคันเกิดขึ้น อาตมาได้บอกให้ท่านทราบว่าสาเหตุเกิดจากนมที่ใช้ทำ ท่านก็ยังไม่
เชื่อและทำฉันเรื่อยมาเป็นเวลาหลายปี อาการคคันก็ยังไม่หาย และเมื่อสองวันที่ผ่านมาท่านได้เล่า
ให้ฟังว่า เมื่อประมาณ ๓ เดือนที่ผ่านมาท่านได้ปฏิบัติธรรมปิดวาจาเป็นเวลา ๔๕ วัน ท่านได้งด
ฉันนมเปรี้ยวอาการคันที่เคยเป็นก็ไม่เกิดขึ้นมา ท่านจึงแน่ใจว่าเกิดจากนมที่ใช้ทำอย่างแน่นอน ท่านจึงได้งดฉันนมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
จะเห็นได้ว่าการที่จะเปลี่ยนความคิดของใครสักคนหนึ่งให้เชื่อตามเรา เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก
บางครั้งเราต้องเคารพความคิดของบุคคลอื่น แม้สิ่งที่เราพูดออกไปเป็นสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม แต่
เมื่อพูดให้บุคคลใดฟังแล้วเขาไม่เชื่อและไม่ทำตาม เราก็ต้องยอมรับความคิดของเขา ถ้าเรื่องนั้น
ไม่ผิดศีลธรรมอันดีงาม แต่ถ้าจะให้บุคคลอื่นเมื่อฟังคำพูดของเราแล้วเชื่อเราหมด เราก็คงจะอยู่ใน
โลกนี้อย่างทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันไม่สามารถเป็นอย่างที่เราคิดได้เลย
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๘ ก.ค. ๕๓
โยมแขกพาภรรยาและลูกสาวไปทำบุญที่วัด เขาบอกว่าอีก ๒ เดือนรถที่ผ่อนมาเกือบ ๕ ปี
จะผ่อนหมดแล้ว เขามีความสุขกับรถคันนี้เป็นอย่างมาก จำได้ว่าสมัยที่เขาซื้อรถมาใหม่ ๆ ต้อง
ผ่อนงวดรถเดือนละ ๕๐๐๐ บาททุกเดือน เงินเดือนก็ไม่ถึง หนึ่งหมื่นบาท ภรรยาบางครั้งก็ไม่มี
งานทำ ความทุกข์ใจได้เกิดขึ้นกับเขา ได้ฟังคำพูดที่เขาพูดให้ฟังเมื่อครั้งนั้นว่า ในชาตินี้ขอมีรถใหม่
สักหนึ่งคัน มันเป็นความภาคภูมิใจสำหรับเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้จะทุกข์ยากประการใดก็สามารถฟัน
ฝ่าอุปสรรคได้สำเร็จ จะเห็นว่าคนเรานั้นกว่าจะทำอะไรให้สำเร็จ จะต้องมีความใฝ่ฝันเสียก่อน
แล้วจึงพยามยามทำตามความฝันอันนั้น จนกว่าความต้องการนั้นจะสำเร็จสมความปรารถนา และ
ควรปรารถนาในสิ่งที่ไม่เหลือวิสัยที่จะกระทำได้
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒๙ ก.ค. ๕๓
โยมหนึ่งหนึ่งบ้านอยู่กรุงเทพ ได้ทำการค้าอย่างหนึ่งและผ่อนบ้านราคาหลายล้านบาทไว้หนึ่งหลัง
ปัจจุบันการค้าที่ทำประสบความล้มเหลว บ้านก็กำลังจะถูกยึด เขามีความทุกข์ร้อนใจเป็นอย่างมาก
หาที่พึ่งที่ไหนก็ไม่มี ไม่ทราบว่าใครจะช่วยโยมคนนี้ได้ หรือคงเหมือนหลายคนที่ต้องถูกยึดทรัพย์
สิน และต้องเป็นบุคคลล้มละลายไปในที่สุด ฉะนั้นจะทำอะไรต้องใคร่ครวญให้ดีเสียก่อนแล้วจึงทำ ครูบาวงศ์ ท่านเมตตาสั่งสอนว่า จะทำการงานสิ่งใดให้ทำเล็กๆไปก่อน เมื่อกิจการนั้นดีขึ้นจึง
ค่อยขยายให้กว้างขวางออกไป ถ้าทำอะไรแล้วทำให้ย่ิงใหญ่ไปเลย อาจจะมีความผิดพลาดได้
แล้วความล้มเหลวก็จะตามมาในภายหลัง พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า จะทำกิจการใด จงใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงลงมือทำ นั่นแหละจึงเป็นการดี
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๓๐ ก.ค. ๕๓
เมื่อเราใคร่ครวญดีแล้ว จึงทำกิจการงานนั้นๆ บางครั้งก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ
เพราะความผิดพลาดย่อมมีเป็นของธรรมดา คนที่ไม่ผิดก็คือคนที่ไม่ทำอะไรเลย จงเอาความผิด
นั้นแหละเป็นครูสอนเรา เพื่อให้เราเป็นผู้ที่ฉลาดในโอกาสต่อไป ก่อนทำอะไรและขณะที่ทำ
กิจการใด ให้มีสติใคร่ครวญไปด้วยตลอดเวลา แม้ความผิดพลาดอาจเกิดขึ้นได้ เราอาจจะแก้ไขได้ทัน หรือเกิดความเสียหายไม่มาก เพราะการที่เราเจริญสติอยู่เสมอนั่นเอง
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๓๑ ก.ค. ๕๓
การทำการงานใดต้องมีความมุ่งมั่นทำกิจการนั้นอย่างไม่ท้อถอย จนกว่างานนั้นจะสำเร็จงานบางอย่างต้องใช้เวลาเป็นสิบ ๆปี กว่างานนั้นจะสำเร็จได้ ความอดทนอดกลั้นนี่แหละเป็นตบะอันสูงสุดที่จะทำให้บุคคลผู้มีความเพียรเข้าถึงความสำเร็จได้ และจะเห็นได้ว่าบุคคลใดถ้าปราศจาก
ความเพียรเสียแล้ว จะทำอะไรให้สำเร็จคงจะเป็นไปไม่ได้เลย
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๑ ส.ค. ๕๓
ความเพียรที่จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด ได้แก่ความเพียรในการดูจิตของตนเอง เป็นความเพียรที่จะถอดถอนกิเลสออกจากจิตจากใจของเราเอง เพราะธรรมชาติแห่งความยึดมั่นถือมั่น เป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ บุคคลใดถ้าสามารถทำความเพียรในจิตของตนเอง ย่อมสามารถพ้นจากบ่วงของมาร และเข้าถึงซึ่งอมตะธรรมได้อย่างแน่นอน
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๒ ส.ค. ๕๓
คนบางคนชอบติเตียนคนอื่น แต่ความผิดของตนเองนั้นกลับมองไม่เห็น ใครจะตักเตือนก็ไม่ได้ ซึ่งมีอยู่มากในสังคมมนุษย์สิ่งที่จะแก้ไขได้ก็คือธรรมะของพระพุทธองค์เท่านั้นที่จะกระทำได้ บุคคลใดที่ศรัทธาในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วพยายามปฏิบัติ
ตามที่พระองค์ทรงสั่งสอน เขาเหล่านั้นก็พร้อมที่จะแก้ไขตนเองให้ดีได้ เมื่อถึงเวลาและโอกาสอันเหมาะสม
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๓ ส.ค. ๕๓
วันนี้ได้ไปกราบพระอาจารย์ประสิทธิ์ ปุญฺญมากโร วัดป่าหมู่ใหม่ และพระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ พระอาจารย์ทั้งสองท่านมีความเมตตาเป็นอย่างมาก พระอาจารย์เปลี่ยนท่านได้เมตตามอบผ้าไตรจึวรที่ท่านครองใหม่
ในวันนี้ให้อาตมานำไปครองจำนวน ๑ ชุด นับเป็นความเมตตาเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเราหมั่นภาวนาชำระจิตใจของตนเองให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองอยู่เสมอ ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๔ ส.ค. ๕๓
เมื่อจิตใจของเรามีความเศร้าหมอง ถ้าเราหมั่นพิจารณาถึงเหตุของความเศร้าหมองนั้น ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสให้รู้จักความทุกข์ แล้วหาสาเหตุของความทุกข์นั้นว่าเกิดจากอะไร ยอมรับสภาพตามความเป็นจริง เห็นความจริงในสิ่งสมมุติทั้งหลายที่เป็นปรมัตถ์ ความทุกข์ที่
เกิดขึ้นจะหลุดออกจากจิตใจของเรา มีแต่ความเบาสบายพร้อมที่จะต่อสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๕ ส.ค. ๕๓
ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นมาบางครั้งต้องแก้ในปัจจุบันที่ปัญหานั้นเกิดขึ้นมา ปัญหาบางอย่างก็ต้องอาศัยการเวลาที่จะคลี่คลายตัวของมันเอง จงมีสติเฝ้าดูเฝ้ารู้จิตใจของเรา ตัวรู้ในปัจจุบัจะทำการแก้ไขตัวของมันเอง เราจะรู้ว่าควรทำอะไรในขณะนั้นให้เหมาะสมและดีงามที่สุดถ้าทำอะไรด้วยความร้อนรนรีบเร่ง ความสำเร็จย่อมเกิดได้ยากเพราะความวุ้นวายได้เกิดขึ้นแล้วในใจของเรา เมื่อต้นกำเนิดคือจิตมันเกิดความวุ้นวายเสียแล้ว แล้วจะคิดแก้ปัญหาให้มีความสงบสุขได้อย่างไร
พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน ๖ ส.ค. ๕๓