พระนาลกะ
ผู้ยิ่งด้วยโมเนยปฏิปทา
จาก หนังสือ กรรมทีปนี
รจนาโดย พระพรหมโมลี วัดยานนาวา กทม.
สมัยที่องค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฎศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าแห่งเราท่านทั้งหลายยังไม่ได้เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้นั้น ปรากฏว่ามีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งเป็นคนมีปัญญาเห็นอาทีนพโทษแห่งฆราวาสวิสัย จึงเข้าไปบวชเป็นฤๅษีอยู่ในป่าอุตสาหะจำเริญสมถกรรมฐานด้วยความอาจหาญเป็นอย่างยิ่งต่อมามิช้าเขาก็ได้บรรลุความสำเร็จในการเจริญสมถภาวนาสมความปรารถนาคือได้บรรลุปฐมฌานซึ่งเป็นฌานสมาบัติที่๑ถึงกระนั้นฤๅษีผู้มีความพยายามอย่างมากมั่นในสันดานก็ยังไม่พอใจในฌานสมาบัติที่ตนได้ อุตส่าห์จำเริญภาวนาต่อไปจนได้บรรลุฌานสมาบัติสูงขึ้นไปเป็นลำดับตลอดถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานซึ่งเป็นฌานสมาบัติที่๘เมื่อได้บรรลุฌานสมาบัติที่๘อันเป็นฌานสูงสุดแล้ว ก็ตั้งจิตอธิษฐานให้เกิดอภิญญาอุตส่าห์กระทำอภิญญานั้นให้เป็นวสีภาพ จนปรากฏว่าเป็นผู้ชำนาญในอภิญญา๕ประการอย่างดี ขอแนะนำให้พวกเราได้รู้จักกับท่าน ฤๅษีผู้ทรงไว้ซึ่งทรงอภิญญา ๕สมาบัติ ๘ ผู้นี้ว่าท่านคือ พระกาฬเทวิลมหาฤๅษีดาบสผู้มีฤทธิ์ยิ่งใหญ่ในหิมาลัยประเทศ
หลังจากที่ได้สำเร็จฌานอภิญญามีคุณวิเศษเหนือมนุษย์ธรรมดาสามัญแล้วท่านกาฬเทวิลมหาฤๅษีก็มีจิตผ่องแผ้วอธิษฐานอภิญญาเหาะไปเพื่อท่องเที่ยวทัศนาจรในสถานที่ต่างๆซึ่งมนุษย์ธรรมดาสามัญไม่สามารถจะไปถึงได้ คราวหนึ่งท่านได้อธิษฐานจิตให้บังเกิดฤทธิ์เหาะขึ้นไปเที่ยวยังดาวดึงสเทวโลกพบสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่รื่นรมย์เหมาะแก่การที่จะมานั่งเข้าฌานสมาบัติเป็นยิ่งนักก็บังเกิดพอใจ ในภายหลังต่อมา จึงปรากฏว่าหลังจากที่ได้ทำกิจจำเป็นในโลกประจำวันเสร็จเรียบร้อยแล้วท่านกาฬเทวิลมหาฤๅษีผู้มีฤทธิ์ก็มักจะอธิษฐานจิตให้เกิดอภิญญาแล้วเหาะไปเข้าฌานสมาบัติเพื่อเป็นการพักผ่อนในเพลากลางวันอย่างสุขสบาย ณสถานที่รื่นรมย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แห่งนั้นเป็นนิตย์
อยู่มาวันหนึ่ง หลังจากที่ได้บริโภคผลาผลตามวิสัยแห่งดาบสผู้อยู่ป่าเสร็จแล้วท่านกาฬเทวิล มหาฤๅษีก็เหาะไปสู่ที่เทวจาริกแล้วก็หลบไปเข้าฌาน ณสถานที่รื่นรมย์นั้นอีกเช่นเคย เมี่อออกจากฌานสมาบัติแล้วได้ยินเสียงอุโฆษณาการอึงคะนึงซึ่งเกิดจากกิริยาของเหล่าเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ผิดแปลกจากปรกติทุกวันมาจึงเรียกเทวดาองค์หนึ่งเข้ามาถามว่าเหตุไรวันนี้บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์จึงเกิดโกลาหลอึงคะนึงผิดธรรมดานักหนาเทวดาองค์นั้นจึงแจ้งความว่า " ข้าแต่ท่านฤๅษีแก่แต่ทว่ามีฤทธิ์เกินคน!กาลนี้เป็นศุภมงคลประเสริฐเลิศล้นเหลือคณนาคือว่าในวันนี้พระมหาสัพพัญญูโพธิสัตว์เจ้าซึ่งเป็นเทพบุตราธิบดีจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตไปปฏิสนธิในพระคัพโภทรสมเด็จพระสิริมหามายาราชเทวีมานานแล้วนั้นท่านได้ประสูติจากพระอุทรแห่งพระมารดาแล้ว พวกข้าพเจ้าเหล่าเทวดาในดาวดึงส์ซึ่งมีสมเด็จพระอมรินทราธิราชเป็นประธาน ต่างก็พากันมีจิตยินดีปรีดาทุกเหล่าชาวฟ้าก็มีหน้าตาแจ่มใสเล่นการมหรสพให้เอิกเกริกโกลาหลไปตามท้องถนนสุทัศนวิถีในดาวดึงสเทวโลกปรากฏเป็นศัพท์สำเนียงสนั่นครั่นครื้นรื่นเริงมากมายในเพลานี้ด้วยมีความชื่นชมโสมนัสเป็นนักหนา เฝ้าแต่อุโฆษณาการและเจรจาแก่กันและกันด้วยความมั่นใจว่า "พระราชบุตรแห่งพระเจ้าสิริสุทโธทนมหาราชกรุงกบิลพัสดุ์ซึ่งประสูติในวันนี้เป็นผู้มีพุทธบารมีเต็มเปี่ยมในพระบวรขันธสันดานอีกมิช้ามินานก็จะได้ทรงนิสัชนาการนั่งเหนือรัตนบัลลังก์ภายใต้มิ่งไม้มหาโพธิและจะได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสรรเพชญสัพพัญญูเจ้าเป็นศาสดาของเหล่าเทวดาแลมนุษย์ทั้งหลายสามารถจักนำเวไนยสัตว์ให้ออกจากกองทุกข์ในวัฏสงสารด้วยการแสดงพระสัทธรรมเทศนามีพระธรรมจักรเป็นอาทิเราทั้งหลายจักได้มีโอกาสทอดทัศนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและจักได้ฟังพระธรรมเทศนากันแล้วในครั้งนี้แล ต่างก็พากันดีอกดีใจดั่งนี้จึงพากันกระทำสาธุการด้วยสำเนียงอึงมี่อึกทึกครึกครื้นและบ้างก็โบกซึ่งทิพยภูษาต่างธงชัยให้เป็นการเอิกเกริกทั่วไปทั้งดาวดึงสเทวโลกดังที่ท่านดาบสได้เห็นและได้ยินอยู่ในกาลบัดนี้แล"
เมื่อเทวดาแจ้งความให้ทราบโดยละเอียดดังนี้ ท่านฤๅษีก็มีความยินดีจึงรีบอุฏฐาการลุกขึ้นจากทิวาวิหารลงมาจากสวรรค์ดาวดึงส์เหาะตรงมาลงยังกบิลพัสดุ์บุรีและดำเนินด้วยบาทเปล่าเข้าไปสู่พระราชนิเวศน์มหาสถานในเพลาสายัณห์แล้วถวายพระพรทูลถามสมเด็จพระราชาธิบดีสิริสุทโธทนะว่า
"ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภารเจ้า! อาตมานี้ได้ยินข่าวว่าพระราชบุตรแห่งบรมบพิตรประสูติแล้ว จะเป็นจริงหรือประการใด "เมื่อสมเด็จพระบรมกษัตริย์ทรงรับคำว่าใช่ จึงถวายพระพรต่อไปอีกว่า "อาตมภาพใคร่จะขอเห็นพระราชกุมาร”
สมเด็จพระเจ้าสิริสุทโธทนราชผู้ทรงมีความเคารพในท่านฤๅษีใหญ่เป็นอย่างยิ่งจึงมีพระราชดำรัสสั่งให้เจ้าพนักงานเชิญพระราชปิโยรสซึ่งทรงพระอาภรณ์พร้อมนำมาให้น้อมพระองค์ลงนมัสการท่านฤๅษีผู้มีฤทธิ์
ขณะนั้น ควรจะเห็นเป็นอัศจรรย์หนักหนา เพราะว่าพระบวรยุคลบาทแห่งพระราชกุมารกลับขึ้น ไปประดิษฐานอยู่บนชฎาแห่งท่านกาฬเทวิลมหาฤๅษี โดยมีคำอธิบายในตอนนี้ว่า
"ธรรมดาพระบรมโพธิสัตว์ในปัจฉิมชาติ คือชาติสุดท้ายจะได้มีบุคคลอื่นที่ควรจักวันทนาการนั้นหามิได้ผิว์พระบรมโพธิสัตว์จะกระทำพระเศียรให้น้อมลงแทบบาทมูลแห่งบุคคลใดแล้วศีรษะบุคคลผู้นั้นจะพลันภินทนาการแตกแยกออกเป็น ๗ ภาคในขณะนั้นทันที"
เมื่อท่านฤๅษีผู้มีฤทธิ์กล้าเห็นเหตุการณ์เป็นประจักษ์ตาดังนั้นก็สะดุ้งใจบังเกิดอัศจรรย์ จึงอุฏฐาการลุกขึ้นจากอาสน์คุกเข่าลงกระทำอัญชลีกรรับเอาพระยุคลบาทแห่งพระบรมพระโพธิสัตว์ไว้ฝ่ายสมเด็จพระราชบิดาได้ทอดพระเนตรเห็นเหตุมหัศจรรย์เช่นนั้นก็ทรงมีพระทัยเต็มตื้นไปด้วยพระปีติสุดประมาณยอกรถวายอภิวันทนาการโดยสำคัญพระราชบุตรของพระองค์ว่าเป็นดุจประหนึ่งพระพรหมผู้วิเศษยิ่ง
ความจริงพระกาฬเทวิลชรานั้นท่านเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งคุณวิเศษเป็นนักหนาโดยได้บรรลุอภิญญาทั้ง ๕ และสมาบัติทั้ง ๘สามารถที่จะระลึกชาติได้มากมายถึง ๘๐ มหากัป คือระลึกอดีตชาติถอยหลังไปได้ ๔๐มหากัป และระลึกถึงชาติในอนาคตรู้ล่วงหน้าไปอีก ๔๐ มหากัปด้วยเหตุเมื่อท่านพิจารณาเห็นลักษณะแห่งพระโพธิสัตว์อย่างถี่ถ้วน และทราบว่าจะได้ตรัสเป็นพระสรรเพชญสัพพัญญู โดยแท้แล้ว จึงรำพึงอยู่ในใจว่า "พระราชกุมารนี้เป็นอัจฉริยมนุษย์จักได้สำเร็จเป็นพระพุทธะอย่างเที่ยงแท้แล้วก็แย้มโอษฐ์สำรวลหัวร่อร่าด้วยความชื่นชมโสมนั้สเป็นนักหนาครั้นแล้วจึงพิจารณาถึงเหตุการณ์ในอนาคต ด้วยอำนาจอภิญญาอันวิเศษแห่งตนก็ทราบได้โดยชัดแจ้งว่า
"อาตมานี้เป็นคนมีวาสนาน้อย เพราะอายุยังเหลืออีกไม่นานนักมิทันที่จักได้เห็นพระราชกุมารโพธิสัตว์นี้เมื่อได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสรรเพชญสัพพัญญูเจ้าเป็นแน่อายุของอาตมานี้จะสิ้นเสียก่อนแล้วอาตมานี้จะขึ้นไปอุบัติเกิดเป็นพระพรหมผู้วิเศษสถิตอยู่ ณอรูปพรหมโลกชั้นสูงสุด คือ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิเป็นเวลานานนักหนาถึงแม้จะมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสในโลกนี้สักร้อยพระองค์พันพระองค์ก็มิสามารถที่จะทรงขึ้นไปโปรดอาตมาได้เลยการที่อาตมาได้เห็นพระมหาบุรุษเป็นมหัศจรรย์ดังนี้แล้วแลชีวิตอาตมามิได้อยู่ทันเห็นเมื่อพระองค์ได้ตรัสเป็นพระสรรเพชญสัพพัญญูเจ้านั้นเป็นการเสื่อมสูญจากอุดมลาภกล่าวคือมรรคผลนิพพานไปอย่างน่าเสียดายนัก
เห็นจริงโดยประจักษ์แลดำริดังนี้แล้ว พระกาฬเทวิลมหาฤๅษีผู้มีฌานอภิญญาแกล้วกล้าก็มิสามารถจะอดกลั้นความเสียใจแห่งตนไว้ได้ก็เลยร้องไห้มีน้ำตาไหลออกมาจากนัยน์ตาทั้งสองผู้คนทั้งผองซึ่งมีสมเด็จพระราชาธิบดีสิริสุทโธทนมหาราชเป็นประธานเมื่อได้เห็นเหตุการณ์อันพิกลเช่นนั้นจึงพากันกราบกรานท่านดาบสฤๅษีผู้มีฌานกล้า แล้วถามด้วยความตกใจว่า "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าหัวเราะสำรวลอยู่เมื่อครู่นี้แล้วเหตุไฉนจึงกลับร้องไห้ พระผู้เป็นเจ้าเห็นอันตรายสิ่งหนึ่งประการใดจักมีแก่พระบวรดนัยราชกุมารนี้ฤๅ?"
พระกาฬเทวิลชฎิลฤๅษีก็บอกความเหมือนดำริแต่หนหลังเพื่อคลี่คลายความวิตกกังวลแห่งคนทั้งหลายแล้วก็ทูลแถลงเหตุให้สมเด็จพระบรมกษัตริย์ได้ทรงทราบ ต่อจากนั้นจึงดำริต่อไปว่า “แต่บรรดาวงศาคณาญาติของอาตมาผู้ใดจักมีวาสนาได้พบเห็นเมื่อพระราชกุมารผู้ประเสริฐนี้ได้ตรัสเป็นพระสรรเพชญสัพพัญญูแล้วบ้างหนอ"เมื่อพิจารณาไปก็ทราบด้วยอภิญญาอันวิเศษว่า "เจ้าบุรุษหนุ่มซึ่งมีนามว่านาลกมาณพผู้เป็นนัดดาแห่งอาตมานั้นเป็นผู้มีบุญบารมีที่ได้เคยก่อสร้างมาแต่ปางบรรพ์จักได้ทันเห็นสมเด็จพระโพธิสัตว์ เมื่อตรัสรู้เป็น องค์พระพุทธเจ้าอย่างเที่ยงแท้” ทราบชัดโดยเเน่นอนฉะนี้แล้ว ก็มีจิตผ่องแผ้วถวายพระพรลาสมเด็จพระราชาธิบดีรีบออกจากพระบรมมหาราชวังตรงไปยังเคหสถานแห่งกนิษฐภคินีน้องสาวตนแล้วเรียกเจ้านาลกมาณพผู้หลานให้มาหมอบลงตรงหน้า แล้วสั่งว่า
“ดูกรเจ้าเอ๋ย นาลกะผู้หลานรัก! ลุงฤๅษีนี้จักบอกข่าวดีประเสริฐให้แก่เจ้าเมื่อเจ้าฟังแล้วจงตั้งใจปฏิบัติตามคำของลุงคือว่าพระบวรดนัยแห่งสมเด็จพระเจ้าสิริสุทโธทนะซึ่งประสูติในเพลาวันนี้ทรงเป็นผู้มีบุญญาธิการมาก ทรงเป็นพุทธางกูรกอบด้วยพระมหาบุรุษลักษณะจักได้ตรัสรู้เป็นองค์พระสรรเพชญสัพพัญญูเจ้าเมื่อชนมายุเข้า 35 พรรษาล่วงไปแล้วในตระกูลของเราก็มีเจ้านี้แลจักมีวาสนาได้ทันเห็นพระองค์เมื่อตรัสรู้ฉะนั้นในบัดนี้เจ้าจึงควรที่จะสละความอาลัยไยดีในทรัพย์สมบัติอันมากมายและฆราวาสวิสัยแล้วออกไปบรรพชาคอยท่าอยู่จนกว่าพระราชกุมารผู้มีบุญญาภินิหารจักได้ตรัสเป็นองค์พระพุทธเจ้าต่อไปเถิด"
นาลกะบุรุษหนุ่มได้สดับโอวาทของลุงฤๅษีดังนี้ก็มีจิตยินดีรับปากว่าจักปฏิบัติตามคำแนะนำนั้นด้วยดีทั้งนี้ก็เพราะเจ้านาลกมาณพผู้เป็นนัดดาแห่งท่านมหาฤๅษีกาฬเทวิลนี้เป็นผู้มีวาสนาบารมีที่เคยได้สั่งสมมาแล้วมากมายในชาตินี้จึงเกิดในตระกูลสูงซึ่งมีทรัพย์นับได้ถึง ๘๗ โกฏิครั้นรับคำว่าจะปฏิบัติตามโอวาทแล้ว ก็มาดำริซ้ำเพื่อให้แน่นอนใจอีกทีหนึ่งว่า ”พระมหาฤๅษีผู้เป็นลุงของเรานี้ เป็นผู้ที่ทรงไว้ซึ่งพรตพรหมจรรย์อันมั่นการที่จะมาสั่งสอนเราในกิจอันเปล่าประโยชน์นั้น ย่อมเป็นอันไม่มีโอวาทนี้เห็นจะเป็นคุณอย่างแท้จริง หากว่าไม่เป็นคุณประโยชน์อันประเสริฐแล้วไหนเลยลุงฤๅษีจะมีจิตกรุณาพาสังขารอันแก่ชรามาชี้แจงให้เราประกอบเล่า” ดำริดังนี้ก็เป็นผู้มีน้ำใจมากมั่นไปด้วยความเคารพเชื่อถือจึงใช้ให้คนไปซื้อหาผ้ากาสาวพัสตร์พร้อมกับบาตรดินจากร้านตลาดแล้วก็ตัดสินใจสละฆราวาสวิสัยและทรัพย์สมบัติอันมากมายบรรดามี ให้ช่างโกนผมแลหนวดแล้วนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์บรรพชาอุทิศเฉพาะพระมหาโพธิสัตว์ยกอัญชลีกรประณมหัตถ์อธิษฐานว่า
“บรรพชาแห่งข้าพระองค์นี้ ขออุทิศเฉพาะองค์พระมหาบุรุษพุทธสัพพัญญูผู้ทรงเป็นเอกอัครบุคคลประเสริฐล้ำเลิศในไตรโลก”
อธิษฐานฉะนี้แล้ว ก็มีจิตผ่องแผ้วถวายนมัสการด้วยเบญจางคประดิษฐ์เฉพาะทิศพระราชนิเวศน์ซึ่งสมเด็จพระราชกุมารผู้จะได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูเจ้าในอนาคตกาลสถิตอยู่แล้วก็จับเอาบาตรขึ้นมาใส่ถุงสะพายขึ้นบนบ่าออกจากเคหสถานเดินทางเข้าไปอาศัยอยู่ในป่าใหญ่รอคอยการตรัสรู้แห่งองค์สมเด็จพระสรรเพชญสัพพัญญูต่อไป (ภายหลังท่านนาลกะองค์นี้ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์สาวกและได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เลิศกว่าพระสาวกทั้งหลายในทางโมไนยปฏิบัติ )
จะกล่าวฝ่ายท่านกาฬเทวิลมหาฤๅษีเฒ่าครั้นมาบอกข่าวและให้โอวาทเเก่เจ้านาลกะหลานรักแล้ว ก็กลับไปยังอาศรมแห่งตนซึ่งตั้งอยู่ในป่าใหญ่ไกลจากแดนมนุษย์ กลับมาได้ไม่นานเพียงเวลา ๗วันเท่านั้นท่านมหาฤๅษีเฒ่าก็ดับสังขารถึงแก่ความตาย ด้วยอำนาจแห่งฌานสมาบัติ ๘ซึ่งเป็นอุปปัชชเวทนียกรรมชั้นสูงสุด ท่านจึงไปอุบัติผุดเกิดเป็นอรูปพรหมผู้วิเศษสถิตอยู่ ณ เนวสัญญานาสัญญายตนอรูปพรหมโลก ด้วยประการฉะนี้
จึงเกิดมีปัญหาขึ้นในตอนท้ายเรื่องนี้ว่า ท่านมหาฤๅษีชรากาฬเทวิลดาบสท่านอุตส่าห์บำเพ็ญพรตเจริญฌานด้วยจิตอันอาจหาญเกินมนุษย์ธรรมดาเพราะบำเพ็ญด้วยความเหนื่อยยากเป็นนักหนา แต่พอได้บรรลุปฐมฌานคือฌานสมาบัติที่ ๑ก็สำเร็จเป็นอุปปัชชเวทนียกรรมฝ่ายกุศลสามารถที่จะน้อมนำท่านให้ไปอุบัติเกิดในพรหมโลกได้และต่อมาท่านก็อุตส่าห์เจริญภาวนาจนได้บรรลุฌานสมาบัติที่ ๒-๓-๔-๕-๖-๗-๘ซึ่งฌานเหล่านี้ก็สำเร็จเป็นอุปปัชชเวทนียกรรมสามารถที่จะน้อมนำท่านให้บังเกิดในพรหมโลกในชาติต่อไปได้ทั้งสิ้นแต่เมื่อถึงคราวที่ท่านดับขันธ์สิ้นชีวิตลงจริงๆ ฌานสมาบัติที่๘เพียงฌานเดียวเท่านั้น ที่เข้าทำหน้าที่ส่งผลชักนำท่านไปอุบัติเกิดบนพรหมภูมิจึงทำให้น่าสงสัยว่าฌานสมาบัติที่ ๑ ถึง ฌานสมาบัติที่ ๗นั้นพากันไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหนและเมื่อไรจึงจะให้ผลดีแก่ท่านดาบสผู้เป็นเจ้าของกรรม?
คำวิสัชนาก็มีอยู่ว่า ข้าวบูดของดาบส! คือ ฌานสมาบัติที่ ๑ ถึงฌานสมาบัติที่ ๗เหล่านั้น ได้กลายสภาพเป็นเหมือนข้าวบูดของท่านดาบสฤๅษีผู้มีกรรมไปเสียแล้วหมายความว่าอย่างไร ไม่เข้าใจ อ้าว! ก็หมายถึงความตามที่เคยกล่าวไว้แล้วนั่นเอง คือได้เคยกล่าวไว้ตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า ฌานสมาบัติอันจัดเป็นอุปปัชชเวทนียกรรมนี้ถ้าไม่มีโอกาสส่งผลให้ในชาติที่2 คือชาติต่อไปนี้แล้วก็จักต้องกลายเป็นอโหสิกรรมไปทันทีมีอุปมาเหมือนกับข้าวสุกซึ่งมีสภาพเก็บไว้นานวันไม่ได้ถ้าเก็บข้าวสุกไว้นานหลายวันโดยไม่บริโภคข้าวสุกนั้นก็จะถึงภาวะบูดเสียใช้การไม่ได้ ในกรณีของท่านกาฬเทวิลมหาฤๅษีคนขยันนี้ก็เหมือนกันท่านอุตส่าห์สะสมข้าวสุกคือฌานสมาบัติไว้มากมายถึง๗จานด้วยกันเมื่อถึงคราวที่ท่านจะบริโภค ท่านเลือกบริโภคข้าวสุกจานสุดท้าย คือฌานสมาบัติที่ ๘ทีนี้ข้าวสุกจานที่เหลือ ซึ่งหมายถึงฌานสมาบัติที่ ๑ ถึงฌานสมาบัติที่ ๗ที่ถูกท่านทิ้งไว้ไม่บริโภคนั้น จะมีลักษณาการเป็นอย่างไร ถูกแล้ว!ฌานเหล่านั้นย่อมจะเข้าถึงความเป็นหมันมีสภาพบูดไม่สามารถที่จะส่งผลให้แก่ท่านดาบสฤๅษีผู้เป็นเจ้าของกรรมได้ เพราะล่วงเลยเขตกำหนดเวลาของตน ฉะนั้นจึงกลายเป็นอโหสิกรรมไปความเป็นไปแห่งอโหสิกรรมฝ่ายกุศลมีนัยดังกล่าวมานี้แล
โมเนยพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ เพื่อให้นาลกะผู้ฤาษี
พิจารณาตามธรรมตามทวี ให้จิตนี้ใสสุดผุดผ่องงาม อย่าได้เลือกที่รักมักที่ชัง ทำทุกอย่างจิตเสมอในโลกสาม
ใครจะด่าใครจะว่าทุกคืนยาม ไม่น้อมตามโทมนัสและขัดเขือง
อีกอย่างใครชื่นชมนิยมชอบ จิตประกอบอุเบกขาพารุ่งเรือง
อย่ายกย่องพองตนอยู่เนืองเนือง ทำต่อเนื่องจิตสบายหายทุกข์เอย
แต่งโดยพระมหานพดล สิริวฑฺฒโน